นางสุนิต วิสุทธิโกศล กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวาณิชธนกิจ – ด้านตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ของ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือ STC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตทุกประเภทภายใต้เครื่องหมายการค้า "STC" ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 148,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.06% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
ปัจจุบัน STC มีทุนจดทะเบียน 284,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 568,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 210,000,000 บาท โดยเงินที่ได้จากการระดมทุน นำไปใช้เพิ่มศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง งานวางท่อระบบระบายน้ำ งานนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง รวมถึงในภาคตะวันออกที่ขยายตัว และโอกาสใหม่ๆ จากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ชูจุดเด่น STC ในด้านการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตครบวงจร กลุ่มผู้บริหารมีชื่อเสียง และประสบการณ์อันยาวนานกว่า 30 ปี สั่งสมความสำเร็จจากการมีส่วนร่วมในงานโครงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดใกล้เคียง มาแล้วหลากหลายโครงการขนาดใหญ่ การมุ่งมั่นสู่ความเป็นหนึ่งด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ สินค้า และการให้บริการ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งภาคเอกชน และรัฐบาล รวมถึง ความเชี่ยวชาญในการผลิตคอนกรีตตามความต้องการของลูกค้า โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างอัตรากำไรในระดับที่สูงขึ้น
นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือ STC เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Pre-cast Concrete) ทุกประเภท และคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-Mixed Concrete) ภายใต้เครื่องหมายการค้า "STC" พร้อมทั้งให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Related Service) เช่น การตอกเสาเข็ม การปั๊มคอนกรีต เป็นต้น เพื่อครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
ผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป สำหรับงานก่อสร้างอาคารแนวราบและแนวสูง รวมถึงงานโครงสร้างและงานฐานรากต่างๆ งานปรับปรุงพื้นที่และภูมิทัศน์ เช่น งานกำแพงกันดินและงานรั้ว เป็นต้น และโครงสร้างพื้นฐาน ต่างๆ เช่น ระบบระบายน้ำ เป็นต้น 2) ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ โดยบริษัทฯ สามารถผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จตามคำสั่งของลูกค้า และ 3) การให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การให้บริการตอกเสาเข็ม การให้บริการปั๊มคอนกรีตขึ้นที่สูง หรือบริเวณที่รถคอนกรีตมิกซ์เซอร์เข้าไม่ถึง เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร (One Stop Shop) และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
สำหรับรายได้จากการขายและบริการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ในปี 2559 - 2561) มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 366.01 ล้านบาท 372.46 ล้านบาท และ 379.54 ล้านบาทตามลำดับ ล่าสุด ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2562 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 107.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.27% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 1 ของปีก่อนอยู่ที่ 88.36 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป ซึ่งเป็นรายได้กลุ่มหลักของบริษัท รับอานิสงส์การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ในเขตพื้นที่เมืองพัทยาและพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งงานนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการลงทุน EEC ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น
ขณะที่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 15.24 ล้านบาท 15.53 ล้านบาท และ 15.41 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.15% 4.16% และ 4.05% ตามลำดับ ทั้งนี้ ล่าสุด งวดไตรมาส 1/2562 มีกำไรสุทธิ 8.92 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.29% โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงถึง 223.35% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 1 ของปีก่อนอยู่ที่ 2.76 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.11%
การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2562 สืบเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นจากการจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปประเภทท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก และบ่อพักน้ำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง ประกอบกับบริษัทฯ สามารถบริหารจัดการการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต STC จึงเดินหน้าเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตามแผนขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่มีความต้องการสูง รองรับโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่ภายใต้นโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ภาครัฐผลักดัน
โดยบริษัทฯ มีแผนลงทุนในโรงงานนาวัง ระยะที่ 3 ซึ่งบริษัทฯ ได้เริ่มลงทุนโรงงานนาวังระยะที่ 1 เมื่อปี 2555 และได้มีการลงทุนต่อเนื่อง เพื่อขยายกำลังผลิตท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก และบ่อพักน้ำเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากนโยบาย EEC และต่อมาได้ลงทุนในระยะที่ 2 ซึ่งเริ่มผลิตท่อคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักน้ำ ทำให้ยอดขายและผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีแผนลงทุนในระยะที่ 3 อีก เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักร โดยจะมีกำลังการผลิตประมาณ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน คาดว่าจะเริ่มลงทุนภายในปี 2564