สวรส. ยกระดับความรู้ สู่รูปธรรมสร้างสุขภาพดี ณ ที่นี่ “ที่ชุมชน”

พฤหัส ๑๑ กรกฎาคม ๒๐๑๙ ๑๖:๐๒
ประเทศฟินแลนด์ ประเทศที่ประชาชนมีสุขภาพดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ในช่วงทศวรรษที่ 70 ประเทศฟินแลนด์มีผู้ป่วยโรคหัวใจเป็นอันดับหนึ่งของโลก จนทำให้รัฐบาลต้องลุกขึ้นมาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยการต่อสู้กับภาวะคุกคามทางสุขภาพในขณะนั้น ไม่ใช่การแถลงการณ์นโยบายหรือการให้ความรู้เรื่องการลดคอเลสเตอรอลแก่ประชาชน เพราะทุกคนรู้ดีอยู่แล้วแต่พวกเขาต้องคิดและเริ่มทำการลดคอเลสเตอรอลด้วยตนเอง โดยเคล็ดลับความสำเร็จของประเทศฟินแลนด์นั้นอยู่ที่รัฐบาลมีความเข้าใจและเลือกใช้เครื่องมือการตลาดเพื่อสังคมได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นเทคนิคจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายยอมรับ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เลิกหรือทำบางอย่างโดยสมัครใจ ภายใต้เป้าหมายเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การเริ่มต้นในเวลานั้นของฟินแลนด์ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยรัฐบาลไม่ได้มีเงินสนับสนุนมากพอเหมือนกับการลงทุนทางการตลาดของภาคธุรกิจ และฟินแลนด์ยังมีนโยบาย สภาพสังคมและวัฒนธรรมความคิดความเชื่อในอดีต เช่น เกษตรกรจะมีรายได้จากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณไขมันจำนวนมาก ความเชื่อของชายฉกรรจ์ที่ไม่บริโภคผักเพราะคิดว่านั่นคืออาหารสำหรับกระต่าย กลยุทธ์การเปลี่ยนพฤติกรรมที่ฟินแลนด์นำมาใช้อย่างหลากหลายในตอนนั้น เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งใหญ่ เริ่มจากห้ามโฆษณาบุหรี่ ปรับเปลี่ยนให้เกษตรกรรับค่าตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ตามปริมาณโปรตีนมากกว่าไขมัน การกระจายเงินสนับสนุนไปที่ท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่คนในท้องถิ่นชอบทำ การแทรกแซงระดับบุคคลโดยส่งทีมงานเข้าไปในผับเพื่อพูดคุยถึงกิจกรรมอื่นที่สนใจนอกเหนือจากการเข้าผับ การผสานเรื่องออกกำลังกายเข้าไว้ในกิจวัตรประจำวัน เช่น การขี่จักรยานไปทำงาน โดยรัฐได้เพิ่มทางเดินเท้าหรือเส้นทางสำหรับขี่จักรยาน ซึ่งได้เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานในชุมชนไปพร้อมกันด้วย หรือการสนับสนุนให้เอกชน ผู้ให้บริการหรือหน่วยงานรัฐอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่างๆ เป็นต้น

จากวิธีการดังกล่าวให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยได้รับรายงานว่า ผู้ชายที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงอย่างน้อย 65% และผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดก็ลดลงใกล้เคียงกัน ประชาชนมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น และคาดว่าผู้ชายฟินแลนด์มีอายุยืนขึ้น 7 ปี และผู้หญิง 6 ปี เมื่อเทียบกับอายุขัยเฉลี่ยก่อนที่รัฐจะเริ่มทำการนี้

ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่ากลุ่มโรคไม่ติดต่อ (NCD) นับเป็นปัญหาสำคัญของระบบสุขภาพไทย การเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ คิดเป็นร้อยละ 71 ของการเสียชีวิตของประชากรไทยกว่า 501,000 รายในปี พ.ศ. 2557 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ตัวเลขประมาณการการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ในสังคมไทยอยู่สูงถึง 2.8 แสนล้านบาทในปี พ.ศ. 2556 การเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพียงอย่างเดียว คิดเป็นร้อยละ 29 ในขณะที่การเสียชีวิตจากโรคติดต่อ การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรและภาวะทุพโภชนาการรวมกันคิดเป็นร้อยละ 18 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด ภาระโรคที่หนักที่สุดจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อในประเทศไทย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปและแนวคิดเรื่องการบริโภคนิยมนับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคดังกล่าว สำหรับสาเหตุซึ่งเป็นปัจจัยด้านลบอื่นๆ ได้แก่ การขาดการควบคุมและป้องกันความเสี่ยงด้านสุขภาพ หรือการใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ เช่น การรับประทานอาหารแปรรูป อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง การสูบบุหรี่ การบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง การรับประทานผักและผลไม้ไม่เพียงพอ ขาดการเคลื่อนไหวและกิจกรรมทางกาย ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้ความชุกของกลุ่มโรคไม่ติดต่อเพิ่มสูงขึ้น พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง ภาวะเมตาบอลิกซินโดรม ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปสู่โรคไม่ติดต่อทั้งสิ้น

ทางด้าน นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า พฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนมีความสำคัญมากกับการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อ รวมทั้งการเพิ่มโอกาสทางสุขภาพด้วยการปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะ รูปแบบบริการสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เครือข่ายทางสังคม และข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข จึงได้ให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และชุมชนเข้ามามีบทบาทในทุกขั้นตอนของการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกัน ควบคุมโรคไม่ติดต่อในฐานะที่ อปท. มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดูแลสุขภาพของประชากรในขอบเขตที่รับผิดชอบ และ สวรส. ในฐานะหน่วยงานวิจัย สร้างและจัดการความรู้ ขอส่งมอบองค์ความรู้จากงานวิจัยให้แก่ชุมชน สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและแนวคิดการปรับพฤติกรรม ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวเป็นการผสานความร่วมมือในดำเนินงานของชุมชนท้องถิ่นจนเกิดเป็นรูปธรรมที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้

โมเดล 1 : กิจกรรมปรับพฤติกรรม จากความรู้สู่รูปธรรมสร้างสุขภาพดีในชุมชน จากการศึกษาวิจัยผลของการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม โรคไตเรื้อรัง โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดในประชากรไทยในจังหวัดอุบลราชธานี

การศึกษาพบว่าการออกกำลังกาย 5 วันๆละ 60 นาที/สัปดาห์ จะช่วยลดภาวะสมองเสื่อมได้ 57% หรือพบว่าคนทั่วไปทราบว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมให้หันมาออกกำลังกายได้ ต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อม ด้านสังคม/ชุมชนเข้ามาช่วย จึงได้ออกแบบเป็นกิจกรรมทดลอง เพื่อปรับเปลี่ยน 4 พฤติกรรม ได้แก่ ด้านอาหาร ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ และดื่มสุรา โดยการจัดการใน 4 ระดับ คือ ระดับบุคคล ครัวเรือน กลุ่ม และชุมชน/ประชาคม

โดยเริ่มจากการอบรมการใช้เครื่องมือและแนวทางให้คำปรึกษา โดยการทำงานของทีมวิจัยร่วมกับเจ้าหน้าที่รพ.สต. และอสม. ตั้งแต่ในระดับบุคคล โดยให้คำแนะนำการออกกำลังกายรายบุคคลจากแบบประเมินปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมทางกาย ระดับครัวเรือน เช่น การเยี่ยมบ้านเยือนครัว โดยการติดสติ๊กเกอร์บนขวดน้ำปลาเพื่อเป็นการเตือนระวังการกินเค็ม ระดับกลุ่มจัดการความรู้ โดยจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนในกลุ่มมีปัญหาคล้ายกัน เช่น ติดเหล้า/บุหรี่ และระดับชุมชน/ประชาคม จัดเวทีให้ชุมชนหามาตรการของชุมชน เช่น สร้างสวนสุขภาพในหมู่บ้าน , ปลูกพืชผักสวนครัวและสมุนไพรสุขภาพ โดยผลดำเนินการใน 1 ปี ที่มีการนำไปใช้จริงกับอาสาสมัครในหมู่บ้านทดลอง 30 หมู่บ้าน 1,767 คน จาก 15 อำเภอ ใน จ.อุบลราชธานี นั้น พบว่า หมู่บ้านที่ได้รับกิจกรรมทดลอง มีการปรับพฤติกรรมการออกกำลังกาย ร้อยละ 68.8 มากกว่าหมู่บ้านที่ไม่ได้ทดลองทำกิจกรรม ที่มีเพียงร้อยละ 41.1

โมเดล 2 : โรงเรียนรักเด็กรักษ์สุขภาพ กับการสร้างสิ่งแวดล้อมทางกายภาพสำหรับเด็กทุกคน จากการศึกษาผลการใช้โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อการลดน้ำหนักของเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

โปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเด็กมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน ในโรงเรียนเทศบาล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นโปรแกรมที่ใช้แนวคิดทฤษฎีทางสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์ตามแบบจำลองเชิงนิเวศพฤติกรรม มาเป็นเครื่องมือกำหนดการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี จากข้อค้นพบในการศึกษาประเด็นการพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งพบว่า เป็น 1 ในปัจจัยที่มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการลดน้ำหนักในเด็ก

การดำเนินงานของโรงเรียนจึงเริ่มจากนโยบายผู้บริหารที่กำหนดให้มีการจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่เอื้อต่อสุขภาพหรือทำกิจกรรมทางกาย เช่น ให้มีลานกิจกรรม ซึ่งเด็กจะเลือกทำกิจกรรมตามที่ถนัดพร้อมให้เบิกยืมอุปกรณ์กีฬาได้ การจัดกิจกรรมกีฬาสำหรับนักกีฬาในเด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ และได้มีกิจกรรมเสริมโดยนักเรียนทุกคนรวมทั้งนักเรียนที่มีน้ำหนักเกิน ต้องวิ่งสะสมรอบหรือออกกำลังกายที่ถนัดและบันทึกกิจกรรม ผลการติดตามกลุ่มทดลอง 51 รายที่มีน้ำหนักเกิน พบว่า พฤติกรรมการออกกำลังกายจากเดิมที่มีการออกกำลังกายระดับสูง/หนัก เพียง 4 ราย ระดับปานกลาง 35 ราย ระดับเบา 12 ราย เปลี่ยนไปเป็นมีการออกกำลังกายระดับสูง/หนัก 33 ราย ระดับปานกลาง 13 ราย ระดับเบา 5 ราย ทั้งนี้ การมีพื้นที่กิจกรรมทางกาย จะส่งผลต่อการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นและช่วยลดน้ำหนักของเด็กต่อไป

โมเดล 3 : ระบบจัดการขยะท้องถิ่น สู่โมเดลรับมือปัญหาขยะของพื้นที่ จากโครงการพัฒนากรอบการทำงานในระดับเขตสาธารณสุข จังหวัด และอำเภอ

ระบบการจัดการขยะในพื้นที่อำเภอกุดบาก จ.สกลนคร ซึ่งทีมวิจัยได้ศึกษาการทำงานระดับเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พบว่า ท้องถิ่นมีรูปแบบการจัดการขยะอินทรีย์ และขยะรีไซเคิลซึ่งสามารถจัดการได้เองในครัวเรือนหรือชุมชน โดยการสนับสนุนการแยกและรับซื้อขยะรีไซเคิล ผ่านการดำเนินงานโครงการธนาคารขยะของเทศบาลในพื้นที่ ส่วนขยะที่ไม่สามารถจัดการได้ เช่น ขยะอันตราย ย่อยสลายยาก และขยะอุตสาหกรรม ได้ส่งเข้าระบบตามแผนบริหารจัดการขยะมูลฝอยของ จ.สกลนคร โดยส่งเข้าบ่อขยะของเทศบาล ต.กุดบาก หรือบ่อขยะของเทศบาล ต.พังโคน ส่วนขยะที่ให้เอกชนมารับไปกำจัดด้วยเตาเผาขยะติดเชื้อที่ จ.สระบุรี ได้แก่ ขยะติดเชื้อในคลินิก รพ.สต.ตำบล และโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญของการจัดการขยะของท้องถิ่นนั้น คือ มีรูปแบบในกำจัดขยะโดยท้องถิ่นเอง ร่วมกับการส่งต่อจัดการ ซึ่งช่วยให้เกิดการวางแผนจัดการขยะอย่างเป็นระบบและครบวงจร ทั้งนี้ ทีมวิจัยจึงได้ต่อยอดการดำเนินงานดังกล่าวโดยสร้างระบบเมตริก (Metric) การจัดการ/รับมือปัญหาขยะ และใช้เป็นข้อเสนอแนวทางการจัดการที่กว้างขวางและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้เกิดกลไกจัดการที่มีสมรถนะในการทำงานได้ครอบคลุมไปในหลายพื้นที่มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างการยกระดับความรู้สู่รูปธรรมของการที่ อปท. ช่วยสร้างสุขภาพให้ประชากรในขอบเขตความรับผิดชอบให้มีสุขภาพที่ดี ป้องกันโรคไม่ติดต่อและมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งท้องถิ่นสามารถจัดบริการสาธารณะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้หลากหลายตามหลักการของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ อันจะเกิดผลที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในชุมชนท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๓:๒๔ แจกจริง! แบรนด์ซุปไก่สกัดส่งมอบรถเทสล่า มูลค่า 1.649 ล้านบาท ให้ผู้โชคดี ในแคมเปญ ดื่มแบรนด์ สแกนเลขในขวด ปี
๑๓:๕๐ GFC ตอบโจทย์ทุกความปลอดภัยเรื่องอาคาร - ถังแช่แข็งตัวอ่อน เปิดให้บริการสำหรับผู้มีบุตรยากตามปกติครบ 3
๑๓:๕๗ KJL ลุยภาคใต้! จัดใหญ่สัมมนา 'รวมพลคนไฟฟ้า ON TOUR' ที่ภูเก็ต
๑๒:๐๐ แว่นท็อปเจริญ จับมือ กรมกำลังพลทหารบก แนะแนวการศึกษาและอาชีพ สร้างโอกาสแก่ทหารกองประจำการและครอบครัว
๐๒ เม.ย. AnyMind Group คว้ารางวัล Gold ในงาน Martech Innovation Awards 2025
๐๒ เม.ย. โชว์พลังดีไซน์ไทยในงาน STYLE Bangkok 2025 รวมแบรนด์ดาวรุ่งจาก Talent Thai และ Designers' Room ที่คุณไม่ควรพลาด
๐๒ เม.ย. ธนาคารกสิกรไทย จัดสัมมนาใหญ่ K WEALTH Forum: เจาะลึก 5 ปัจจัยเปลี่ยนเกมการลงทุนโลก
๐๒ เม.ย. PSP ปิดดีลทุ่ม 409.5 ลบ. ถือหุ้นใน รีไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง (RE) ปักหมุดธุรกิจสู่ศูนย์กลางรีไซเคิลสารเคมีแห่งภูมิภาค
๐๒ เม.ย. กลุ่มซีไอเอ็มบี เปิดรับสมัครสอบชิงทุน CIMB ASEAN Scholarship 2025 ทุนเรียนต่อปริญญาตรี - ปริญญาโท พร้อมโอกาสร่วมงานกับกลุ่มซีไอเอ็มบี
๐๒ เม.ย. ศูนย์การค้าเครือเอ็ม บี เค เปิดพิกัดจุดสรงน้ำพระ เสริมสิริมงคลกับเทศกาล สงกรานต์อิ่มบุญ