วันนี้ครูแพมให้เกียรติมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์แนวทางการดำเนินชีวิตกับโครงการ "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" จัดโดย บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่นอีเลฟเว่นประเทศไทย เป็นปีที่ 23 แล้ว
ใครจะไปเชื่อว่ากว่าจะเป็นครูแพม ที่เป็นแรงบันดาลใจให้หลายๆ คนในการเดินตามความฝันด้วยความมุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จ "สวย เก่ง มั่นใจ" ไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรมคำศัพท์ที่ใช้อธิบายตัวตนของเด็กหญิงแพมในวัยเด็กเลย
"ตั้งแต่เล็กเป็นเด็กที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เครียด คิดมาก อายุ 6 ขวบรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย หดหู่กับชีวิต ซึมเศร้า ชอบอยู่กับตัวเอง" คือสิ่งที่ครูแพมพูดถึงตัวเองในอดีต
แต่สิ่งที่ทำให้เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ก็คือ "ธรรมะ" ซึ่งคุณแม่สนับสนุนให้เข้าวัด นั่งสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ ฟังเทศน์ ได้สนทนาธรรมกับพระอยู่เป็นประจำ ทำให้จิตใจเข้มแข็ง มีสมาธิ ก็เกิดเป็นสติ สามารถมองเห็นถึงเหตุแห่งปัญหาความทุกข์ในชีวิต จนที่สุดก็สามารถปล่อยวางได้
วันที่เด็กหญิงแพมผู้ไม่มีความรู้ ไม่เคยฝึกฝน ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเสียงดนตรี ตัดสินใจสมัครเข้าประกวดรายการร้องเพลงระดับประเทศ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคนในครอบครัว เพราะคิดว่า เด็กสาวขี้อาย ขลาดเขินไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับคนอื่นจะขึ้นไปยืนร้อง เล่น เต้น ต่อหน้าคนจำนวนมากได้อย่างไร แต่เธอก็คว้าตำแหน่งชนะเลิศในเวทีนั้นมาได้จนเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งประเทศ ตั้งแต่นั้นมาความตั้งใจในชีวิตก็ชัดเจนขึ้น ครูแพมก้าวไปสู่ความฝันทีละน้อย จากเด็กที่เรียนไม่เก่งก็เปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ต้องทำงานด้านดนตรีไปด้วย
"ทุกอย่างสำเร็จได้เพราะมีสมาธิ ถ้าเราไม่มีสมาธิก็จะทำอะไรไม่ได้เลย อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง เราสามารถจัดระบบสมองของเราจากการมีสมาธิให้ปล่อยวาง ทำให้จิตใจให้สงบ ช่วงวัยรุ่นจริงจังกับการนั่งสมาธิมาก ทำวันละ 2 ชั่วโมง ให้มีสตินิ่งจริงๆ ทำอะไรให้รู้ตัว"
สมาธิ และสติ ช่วยเธออีกครั้งเมื่อพบวิกฤติครั้งใหญ่ จากที่เคยมีชีวิตที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ประสบความสำเร็จ มีธุรกิจดนตรีมูลค่าหลายร้อยล้าน แต่เมื่อถึงวันที่เกิดความขัดแย้งทางความคิดกับพาร์ทเนอร์ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันมากว่า 15 ปี เธอเลือกจะจบเรื่องราวตรงนั้นแล้วเดินออกมาตัวเปล่า เพราะคิดถึงเรื่องดีๆ ช่วงเวลาดีๆ สิ่งดีๆ ที่เคยมีร่วมกันมา
"การฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างเป็นกลางๆ ไม่ได้ยึดติดว่าอันนี้ของฉัน นี่คือชื่อเสียงของฉัน นี่คือธุรกิจของฉัน นี่คือเงินของฉัน แต่เราคิดถึงสิ่งดีๆ ที่เคยทำให้กันมา เรายกให้เขาเป็นการตอบแทนสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้เรา แล้วเราจะได้ไปเริ่มต้นใหม่ด้วยความสบายใจ สิ่งที่ได้คือ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเราเป็นคนปล่อยวางได้จริงๆ และยังได้รู้ว่าถ้าเรามีความสามารถ มีความมุ่งมั่นเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ"
ชีวิตกลับไปที่ศูนย์อีกครั้ง แต่การเริ่มต้นใหม่ก็ทำให้ครูแพมได้ค้นพบสิ่งสำคัญที่เธอได้ละเลยมานาน และเป็นความสุขแท้จริงที่ไม่เคยหายไปไหน
"ออกมามีแค่กระเป๋าหนึ่งใบ โน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่อง กับโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่ ไม่มีเงินในบัญชีธนาคารสักบาท มีลูกสาววัย 5 ขวบหนึ่งคน ต้องให้น้องสาวมารับ ที่สะเทือนใจคือ ลูกอยากกินขนม เปิดกระเป๋ามาไม่มีเงินเลย รู้สึกว่าทำไมเราเป็นแม่แบบนี้ ก็ได้กลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง จากที่ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยมีเวลาให้ท่านเลยเพราะมุ่งมั่นทำโรงเรียน ทำรายการ 6 เดือนจะเจอกันสักครั้ง แต่พอได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ได้ดูแลท่าน ทำให้เกิดย้อนสำนึกถึงบุญคุณพ่อแม่ว่า ใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตเขาอาจจะจากเราไป แต่คนที่ไม่เคยทิ้งเราคือพ่อแม่ ทำให้เราเปลี่ยนไปเลย ที่เคยโกรธท่านตอนเด็กๆ มันหายไปหมด และเกิดความเข้าใจว่าวันหนึ่งเมื่อเราไม่เหลืออะไรเรายังมีพ่อแม่เสมอ"
"ไม่ว่าเขาจะเอาอะไรจากฉันไป แต่สิ่งที่เขาเอาไปไม่ได้คือศักดิ์ศรี เพราะความรักที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดกำลังเกิดขึ้น ฉันพบมันแล้วภายในตัวฉันเอง เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง มันคือความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งมวล" ส่วนหนึ่งของเพลง "Greatest Love of All" ของศิลปิน วิตนีย์ ฮุสตัน ที่ครูแพมชื่นชอบ และอธิบายชีวิตของเธอได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตให้แก่ทุกคนได้ด้วย และทั้งหมดนี้ก็คือความสุขฉบับหญิงแกร่งที่ชื่อลิตา ตะเวทิกุล
สำหรับผู้สนใจร่วมฟังธรรมบรรยายในโครงการ "เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ" ได้ที่ชั้น 11 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม ทุกวันศุกร์ เวลา 12:00-13:30 น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ