บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เผยแพร่โดยระบุว่า ได้แนะนำซื้อหุ้น บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP ประเมินเป้าหมาย 12 บาทต่อหุ้นโดยโรงไฟฟ้ามองโกเลียโรงแรก COD เรียบร้อยแล้ว คาดทำให้ตลาดคลายความกังวลอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง SSP เป็นหุ้น Laggard ที่น่าสนใจ โดยปัจจุบันเทรดพีอีเรโช อยู่ที่ราว 11เท่า เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่เทรดราว 20เท่า พร้อมกับกำไรที่เติบโตโดดเด่นกว่า 30% จากกำลังการผลิตที่มี PPA รองรับแล้วทั้งหมด
ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 2/2562 คาดเติบโตโดดเด่น โดยกำไรปกติประเมินที่ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น10% จากงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 27% จากไตรมาส1/62 เติบโตจากงวดเดียวกันปีก่อน จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 54 เมกะวัตต์ โดยเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Solar farm Binh Nguyen (เวียดนาม) ขนาดกำลังการผลิตตามสัดส่วน 39.7 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการหลักในปีนี้เมื่อเดือน พ.ค.62 ขณะที่เทียบจากไตรมาส1/62 กำไรเติบโตได้จากการเข้าสู่ช่วง High season ของ Solar farm ทั้งในไทยและญี่ปุ่น
ทั้งนี้ คงกำไรสุทธิปี 2562 และคาดครึ่งหลังปี 2562 เติบโตโดเด่นต่อเนื่อง ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2562 ที่ 692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%จากงวดเดียวกันปีก่อน แม้ประมาณการครึ่งแรกปี 2562 คิดเป็น 43% ของประมาณการทั้งปี แต่ Key driver ในครึ่งหลังปี 2562 จะมาจากการรับรู้รายได้เต็มจากโครงการ Solar farm Binh Nguyen (เวียดนาม) ซึ่ง COD ในไตรมาส 2/2562 และเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Solar farm Khonshign (มองโกเลีย) 11เมกะวัตต์ ซึ่ง COD และส่งผลให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนรวม ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 121เมกะวัตต์เพิ่มขึ้น 73%จากงวดเดียวกันปีก่อน
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ ออกบทวิเคราะห์เผยแพร่ ระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้แนะนำซื้อ หุ้นSSP โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 11 บาทต่อหุ้น จาก 10.70 บาทต่อหุ้น เนื่องจาก คาดSSP จะรับรู้กำไรไตรมาส2/62 ประมาณ 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 29%จากไตรมาส1/62
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเป็นช่วงฤดูร้อนทั้งในไทยและญี่ปุ่น โดยเฉพาะญี่ปุ่นเป็นช่วงมีแดดตั้งแต่ ตี 4 ถึง 6 โมงเย็น ซึ่งการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก Solar Farm Plants ที่ญี่ปุ่นอยู่ในระดับดีทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน และไตรมาส 1/62 และ เริ่มรับรู้รายได้ไฟฟ้าขนาด 50 เมกะวัตต์ที่เวียดนามเข้ามาตั้งแต่เดือน มิ.ย.62 รวมทั้ง โครงการ Khunshight Kundi ในมองโกเลีย ขนาด 16.4 เมกะวัตต์พร้อมจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้ว และรับรู้รายได้ค่าไฟฟ้าได้ในช่วงไตรมาส 3/62 ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตราว 400 เมกะวัตต์ภายใน 5 ปี เทียบกับสิ้นไตรมาส 2/62 มีอยู่ 140 เมกะวัตต์ และไตรมาส 3/62 จะมี 157เมกะวัตต์ (เพิ่มจากมองโกเลีย) โดยสิ้นปี 2563 คาดว่าจะมีกำลังการผลิต 192 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ SSP ยังให้ความสนใจโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามระยะ2 ที่มีศักยภาพสูง และมีกำหนดCOD ในปี 2563 ซึ่งช่วยลดความผันผวนของรายได้ด้วย เนื่องจากพลังงงานลมจะมี High Season ในไตรมาส3 ซึ่งตรงกันข้ามกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็น Low Season
สำหรับในอินโดนีเซียนั้น SSPได้เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท SEA Sun Energy Partner Pte.Ltd. เพื่อพัฒนาโครงการ Solar Rooftop รวมถึงเป็นฐานในการพัฒนาโรงการอื่นๆ หากรัฐบาลอินโดนีเซียนมีนโยบายสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของSSP ในปี 2562 เพิ่มขึ้น 3%เป็น 653 ล้านบาท และในปี 2563 เพิ่มขึ้น 5% เป็น 1,137 ล้านบาท จึงยังคงแนะนำซื้อลงทุน