ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ ภายใต้การร่วมทุนกับ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ซึ่งนับเป็นโครงการลำดับที่ 6แล้ว ประกาศชัด เสนา ฮันคิวมุ่งเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกทำเลอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละทำเล
"ล่าสุด เสนากำลังจะเปิดคอนโดมิเนียมใหม่พร้อมให้ชมห้องตัวอย่างโครงการ "นิช โมโน รามคำแหง"ตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง (ระหว่างซอย36 และ36/1)บนพื้นที่ 14ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียม High Rise จำนวน 2 อาคาร สูง 37 ชั้น และ 33 ชั้น คอนโดมิเนียม Low Rise สูง 7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร พร้อมอาคารจอดรถสูง 5 ชั้น 1 อาคาร รวมห้องชุดพักอาศัย 1,698 ยูนิต และ 9 ร้านค้า รวมมูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท"ตัวอาคารประกอบด้วย ห้องแบบ 1 ห้องนอน 28 – 31 ตารางเมตร ,ห้องแบบ 1 ห้องนอน พลัส 33.5 – 38 ตารางเมตร และห้องแบบ 2 ห้องนอน 45 – 51 ตารางเมตร ภายในออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสูงสุดด้วยห้องหน้ากว้าง พร้อมเฟอร์นิเจอร์แต่งครบเพิ่มพื้นที่การใช้งานและการพักผ่อนให้มากขึ้นราคาเริ่ม 1.99 - 5.2 ล้านบาทหรือตกตารางเมตรละ 89,000บาท โดยจุดเด่นเรื่องของทำเลโครงการติดกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ) บริเวณสถานีหัวหมาก 0 เมตร ที่สำคัญยังคงนำแนวคิด MADE FROM HER ใส่ใจทุกดีเทลชีวิต จากแนวคิดแบบผู้หญิงมาใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการด้วยรวมถึงแนวคิด GEO fit+จากญี่ปุ่น
นิช โมโน รามคำแหง คอนโดมิเนียมภายใต้แนวคิดการออกแบบพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิต ที่ทุกตารางเมตรออกแบบมาอย่างลงตัวให้คุณได้ทำสิ่งที่ชอบ ในเวลาที่ใช่ใช้ชีวิต Activeเต็มที่กับส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 6.5 ไร่ต่อเนื่องตลอดทั้งโครงการที่ใหญ่ที่สุดในย่านรามคำแหงกับ 24 Hr. Sport Village ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชม.ออกแบบภายใต้แนวคิด HEART RATE ZONE FACILITIES พร้อมกิจกรรมที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกสไตล์การใช้ชีวิตใช้ชีวิต Fit & Firm ไปกับสระว่ายน้ำ 3 สระ 3 สไตล์ และเพิ่มพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ด้วย Co-Sharing Space พรั่งพร้อมด้วยระบบรักษาความปลอดภัย กล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง ระบบกั้นอัตโนมัติ ลิฟท์แบบล๊อคชั้น และประตูแบบดิจิตอลล็อค เป็นต้น
ด้านคุณพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าย่านบางกะปิ-รามคำแหงเป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ที่มีการขยายตัวของโครงการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนพื้นที่บริเวณนี้จากการลงทุนพัฒนาในระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล กล่าวคือการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สาย อันได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และบริเวณรามคำแหงยังอยู่ในเส้นทางเดินรถของรถไฟแอร์พอร์ตลิ้งที่สถานีรามคำแหง ซึ่งสามารถทำให้คนที่อยู่อาศัยหรือทำงานในบริเวณนี้สามารถเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกหรือหากจะเดินทางเข้าเมืองสู่บริเวณมักกะสัน หรือ พญาไท โดยรถไฟแอร์พอร์ตลิ้งอีกด้วย
นอกจากการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ทางภาคเอกชนเองต่างมองเห็นศักยภาพของที่ดินบริเวณรามคำแหง โดยบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้เตรียมปรับโฉมและรีโนเวตเดอะมอลล์ รามคำแหง 2 เพื่อรองรับผู้ที่อยู่อาศัยและทำงานบริเวณนี้ โดยเดอะมอลล์ รามคำแหง 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการศูนย์การค้าด้วยพื้นที่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร โดยเป็นพื้นที่เช่าประมาณ 88,000 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2564 บริเวณรามคำแหงในอนาคตยังเป็นแหล่งธุรกิจอีกด้วย ณ ปัจจุบัน มีการพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอแบรนด์ เมเจอร์ ทาวเวอร์ โดยใช้ชื่อว่า เมเจอร์ ทาวเวอร์ พระราม 9-รามคำแหง มีพื้นที่เช่าประมาณ 25,000 ตารางเมตร โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมเมทริส พระราม 9 – รามคำแหง โครงการนี้พัฒนาโดยบริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวสามารถเดินทางได้สะดวกไม่ว่าจะเข้าเมืองหรือออกนอกเมือง ด้วยการเชื่อมต่อหลายเส้นทางหลัก เช่น ถนนพระราม9 รามคำแหง ไปจนถึงเอกมัย ทองหล่อ ที่มีครบทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน อีกทั้งยังอยู่ใกล้ใกล้มอเตอร์เวย์ ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลชั้นนำอีกมากมาย พร้อมทั้งยังรายล้อมไปด้วยสถานศึกษาทั้งระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
ทั้งนี้ จากผลวิจัยของ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ระบุว่า จำนวนอุปทานคอนโดมิเนียมบริเวณรามคำแหง ณ กลางปี พ.ศ. 2562 มีจำนวนทั้งสิ้น 14,750 หน่วย โดยคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้มีจำนวนอุปทานใหม่เกิดขึ้นมากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 อันเนื่องมาจากการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้ดำเนินงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี ในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559 ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและเริ่มเปิดขายมากขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ถึงปี พ.ศ. 2562 โดยในปี พ.ศ. 2560 มีอุปทานใหม่คอนโดมิเนียมเปิดขายสูงถึง 3,658 หน่วย ส่วนปี พ.ศ. 2561 มีอุปทานใหม่เปิดขาย 2,661 หน่วย และ ณ ครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2562 มีอุปทานใหม่เปิดขายประมาณ 2,236 หน่วย คาดว่าในปี พ.ศ. 2562 จะมีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในบริเวณนี้สูงถึง 6,000 หน่วย
ซึ่ง ณ กลางปี 2562 คอนโดมิเนียมบริเวณรามคำแหงมีจำนวนหน่วยขายสะสมสูงถึง 12,370 หน่วย จากจำนวนคอนโดมิเนียมที่เปิดขายทั้งสิ้น 14,750 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ร้อยละ 83.9 มีจำนวนคอนโดมิเนียมเหลือขายประมาณ 2,380 หน่วย จำนวนหน่วยขายคอนโดมิเนียมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีจำนวนหน่วยขายสูงถึงปีละ 2,500 หน่วย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีศักยภาพ ส่งผลทำให้มีกลุ่มผู้ที่สนใจเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้เพิ่มมากขึ้น ทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยต่างชาติที่สนใจและเป็นกลุ่มผู้ซื้อคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้ คือ ชาวจีน และ ชาวสิงคโปร์ ทั้งนี้เนื่องจากคอนโดมิเนียมในบริเวณรามคำแหงยังมีราคาที่จับต้องได้ เมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมบริเวณถนนรัชดาภิเษกที่มีระดับราคาขายสูงขึ้นถึงตารางเมตรละ 150,000 บาท หากรถไฟฟ้าสายสีส้มแล้วเสร็จการเดินทางจากบริเวณรามคำแหงถึงบริเวณรัชดาภิเษกสามารถทำได้สะดวก โดยเดินทางจากบริเวณรามคำแหงไปยังสถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้กลุ่มผู้ซื้อที่เป็นคนไทยยังซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเอง และบางส่วนซื้อเพื่อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินโดยคาดว่าคอนโดมิเนียมในบริเวณรามคำแหงยังมีระดับราคาที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ในอนาคตยิ่งเมื่อระบบรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้วเสร็จย่อมทำให้ราคาขายคอนโดมิเนียมในบริเวณนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ส่วนระดับราคาขายคอนโดมิเนียมบริเวณรามคำแหงพบว่าราคาขายคอนโดมิเนียมบริเวณนี้มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ กลางปี พ.ศ. 2562 ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมเกรดบี มีระดับราคาขายอยู่ที่ 98,323 บาท ต่อ ตารางเมตร ปรับตัวขึ้นจากปี พ.ศ. 2557 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 74,292 บาทต่อตารางเมตร ค่าเฉลี่ยการปรับตัวขึ้นของคอนโดมิเนียมจากปี พ.ศ.2557 ถึงกลางปี พ.ศ. 2562 มีค่าเฉลี่ยสะสมในการปรับตัวในระยะเวลา 5 ปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ในอัตราร้อยละ 7.2 ต่อปี โดยราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมระดับเกรดบีมีราคาขายปรับตัวสูงที่สุดในปี พ.ศ. 2560 โดยปรับตัวขึ้นในอัตราร้อยละ 10.5 จากปี พ.ศ. 2559 ส่วนระดับราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมเกรดซี ในบริเวณรามคำแหง ณ กลางปี พ.ศ. 2562 มีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 63,705 บาท ต่อตารางเมตร ปรับตัวขึ้นจากปี พ.ศ. 2557 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 53,402 บาท ต่อ ตารางเมตร ค่าเฉลี่ยการปรับตัวขึ้นของคอนโดมิเนียมจากปี พ.ศ. 2557 ถึง กลางปี พ.ศ. 2562 มีค่าเฉลี่ยสะสมในการปรับตัวในระยะเวลา 5 ปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) อยู่ในอัตราร้อยละ 4.3 ต่อปี