ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (มธบ.) กล่าวเปิดงานเสวนาโต๊ะกลม ในหัว สงครามการค้าจีน – สหรัฐอเมริกา ฟ้าสว่าง หรือ ทางมืด หวังเวที G20 ที่จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และ CIBA มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ว่า การจัดเวทีเสวนา โต๊ะกลมในครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือ ระหว่าง สมาคมฯ และ CIBA ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นครั้งที่ 3 และจากสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ อย่างจีน และอเมริกา ส่งผลกระทบต่อ ประเทศไทย อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะโตต่ำกว่าเป้า หรือตัวเลขการส่งออกที่ลดลง และล่าสุด ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ล้วนเป็นผลกระทบที่จะอยู่นิ่งต่อไปไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการจัดเสวนาในครั้งนี้ โดยเชิญ วิทยากรทั้ง 6 ท่าน ได้แก่ นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงต่างประเทศ นางสุจิต ชัยวิชญชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ดร.ธารากร วุฒิสถิรกูล รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไทย- จีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ และดร.ภูมิพัฒน์ พงศ์พฤฒิกุล นักวิจัยอาวุโส วิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยทั้งหมด จะมาพูดคุยในมุมมองที่หลากหลาย เพื่อจะได้รู้ว่า ต่อไปในอนาคต จะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนจะได้เตรียมตัว เพื่อที่จะรองรับปัญหาที่จะเกิด เราจะมีมาตรการอะไรที่จะแก้ไข หรือ ทำอะไร ประคองตัวเราให้รอดพ้นไป
ด้าน ดร.ศิริเดช คำสุพรหม คณบดี วิทยาลัยบริหารธุรกิจและการบัญชี (CIBA) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวเสริมว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา-จีน ทำให้เศรษฐกิจโลกตื่นตัว ในขณะเดียวกันเราในฐานะสถาบันการศึกษา ต้องพิจารณาในเรื่องความรู้ การค้า เศรษฐกิจ และการลงทุน ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย และคนไทยเองจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ซึ่งในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดี ที่CIBAเอง ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวไทย จีน ที่จัดงานเสวนาในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และเพิ่มพูนความรู้มากขึ้น
ด้าน นายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย – จีน กล่าวต่อว่า ความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้สื่อข่าว ไทย จีน กับ CIBA มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ทำงานร่วมกันมากว่า 4 ปี มีกิจกรรมทำร่วมกันมากกว่า 10 ครั้ง เหตุที่จัดเสวนาในครั้งนี้ ถือ เป็นครั้งที่ 3 และที่เลือกประเด็นนี้ เพราะ การที่ประเทศมหาอำนาจ มีปัญหากันกลายเป็นเรื่องที่กระทบไปทั่วโลก ซึ่งครั้งแรกคิดว่า ไม่เท่าไหร่ เพราะทะเลาะกันไปก็จะเจ็บตัวกันเปล่า แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะดูท่าทีว่าจะยาว ทั้งนี้ จากการตั้งข้อสังเกต หลังจากจบการประชุม G20 เหมือน ทั้ง 2 ประเทศ จะยุติปัญหากัน แต่หากดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เคยทะเลาะกันแบบนี้ และพักยกไปได้ 90 วัน ก็กลับมาทะเลาะกันใหม่ ครั้งนี้จึงเหมือนสงบศึกชั่วคราว โดยทางจีนเองพยายามที่จะไม่ใช่คำว่าสงคราม เปลี่ยนมาใช้คำว่า การมีปฏิสัมพันธ์ แต่สื่อไทยและสื่อทั่วโลกก็ยังคงใช้คำนิยามว่า "สงคราม" อยู่
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดเสวนาในครั้งนี้ มีหลากหลายประเด็น ที่ผู้เข้าร่วมเสวนาสะท้อนมุมมองให้เห็นชัดเจนมากอย่างขึ้น เช่น การประชุม G20 เป็นเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าติดตามข่าวจะเห็นว่า มีการวิเคราะห์ มีการติดตามข่าวสารหลากหลาย บางคนมองถึงขนาดที่ว่า 2 ประเทศ ไม่มีทางที่จะเลิกสงครามเพราะจีนเองบอกว่าถ้าจะเลิกสงครามทางอเมริกาต้องยกเลิกนโยบายภาษีก่อน หรือ บางคนมองว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาต้องการนำเรื่องนี้มาใช้ในการหาเสียง แล้วถ้าหากชนะการเลือกตั้ง จะทำให้สงครามหนักขึ้นไปอีก เพราะสะท้อนว่ามีแรงสนับสนุนแนวคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนประเด็นสุดท้าย จีนสถาปนาครบรอบ 70 ปี ย้อนกลับไปประเทศจีนเปิดประเทศ แค่ 40 ปี และตลอดระยะเวลา 40 ปี จีนสามารถพัฒนาแบบก้าวกระโดด จนแซงอเมริกาไปแล้ว และสิ่งที่ "ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา" กลัว คือ การที่ประเทศจีน ประกาศ 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกเมื่อปี 2025 จีนประกาศเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เรื่องที่ 2 ประกาศผลักดันเส้นทางสายไหม โดยใช้ตัวนี้เป็นตัวเชื่อมโลก และจีนพร้อมเปิดค้าขายกับทุกประเทศ ซึ่งในทางกลับกัน จีนกลายเป็นผู้นำการค้าเสรี แต่อเมริกากลับหันมากีดกั้นทางการค้า เสียเอง