บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) จัดงานเปิดตัวเรือเดินสมุทรลำใหม่ มูลค่ากว่า 30 ล้านดอลล่า หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันทางบริษัทมีเรือเดินสมุทรอยู่ถึง 48 ลำ เพื่อให้บริการด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยปัจจุบัน บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) คือบริษัทผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลด้วยตู้คอนเทนเนอร์ สัญชาติไทยเพียงเจ้าเดียว ที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 40 ปี มีการให้บริการหลักอยู่ 5 ประเภท ประกอบด้วย 1. เป็นเจ้าของเรือเดินสมุทร (Ship Owner) 2. รับบริหารจัดการเรือเดินสมุทร (Ship Operator) 3. การดูแลรักษาเรือเดินสมุทร (Ship Management) 4. ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร (Logistics) และ 5. ธุรกิจเจ้าของท่าเรือ (Port Operator) ทั้งที่กรุงเทพและแหลมฉบัง นอกจากนี้ยังดำเนินธุรกิจร่วมกับบริษัทในเครือ เพื่อความครบวงจรการให้บริการ เช่น ธุรกิจลานบรรจุตู้สินค้าเพื่อการส่งออก ธุรกิจโกดังสิค้าและศูนย์กระจายสินค้า ธุรกิจลานตู้คอนเทนเนอร์พร้อมรถพ่วงจำนวนหนึ่ง และธุรกิจท่าเรือบก เป็นต้น
นายทวินโชค ตันธุวนิตย์ SVP Chief of Region and Business Development บมจ.อาร์ ซี แอล เผยว่า ปัจจุบันเราเป็นบริษัทสัญชาติไทยเพียงเจ้าเดียว ที่ให้บริการในด้านนี้ คือบริการขนส่งสินค้าทางทะเลที่มีเรือเดินสมุทรและตู้คอนเทนเนอร์เป็นของตนเอง และมีการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่ครบวงจร มีเรือให้บริการหมุนเวียนอยู่ประมาณ 48 ลำ โดยล่าสุดเพิ่งรับมอบเรือไปเมื่อปีก่อน 2 ลำ โดยวันนี้เราได้รับมอบเป็นลำที่ 3 และจะทะยอยรับมอบอีกในสิ้นปีนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรือธงไทยทั้งสิ้น
"สำหรับธุรกิจขนส่งสินค้าของบริษัทนั้น ถือว่าครอบคลุมทั้งหมดของภูมิภาคเอเซีย และตะวันออกกลาง มีเส้นทางเดินเรือประจำอยู่กว่า 40 เส้นทาง และสามารถกระจายสินค้าได้กว่า 60 เมืองทั่วภูมิภาค มีเรือให้บริการขนาดตั้งแต่ไซส์ 200 ตู้ ไปจนถึงกว่า 8,000 ตู้ โดยถือว่าเราเป็นหนึ่งในบริษัทของไทยที่ให้บริการในระดับมาตราฐาน และสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของภูมิภาคอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้อย่างทัดเทียม"
นายทวินโชค กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจของ บมจ.อาร์ ซี แอล โดยเฉลี่ยที่ผ่านมา เรามีรายได้อยู่ที่ประมาณปีละ 17,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ โดยในปี 2562 ที่ผ่านมาช่วงไตรมาสแรก เราทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 133 ล้านดอลล่าร์ หรือประมาณ 4,250 ล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ 120 ล้านดอลล่าร์ ก็ถือว่าโตขึ้นกว่า 11% จึงทำให้มั่นใจว่ายอดสรุปรายได้ครึ่งปี 2562 นี้ น่าจะเป็นไปตามเป้า ส่งผลให้รายได้สิ้นปีเป็นไปตามแผนงาน คือโตขึ้นจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 9-10% ด้านแผนการปฏิบัติงาน นอกจากเพิ่มจำนวนเรือแล้ว ยังได้นำเทคโนโยลี และเครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วยมากขึ้น ทั้งระบบหุ่นยนต์ ซอฟต์แวร์ระบบจัดการที่เน้นการบริหารจัดการ ผ่านการทำระบบ Big data ที่จะช่วยให้การเข้าถึงลูกค้าดีมากขึ้น การแก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังจะมีการส่งเสริมการนำระบบ Business Intelligence มาช่วยในการปฏิบัติงานในส่วนต่างๆ
"เราตระหนักว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว การแข่งขันในตลาดก็สูงขึ้น ทุกบริษัทมีการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ เราจึงหยุดนิ่งไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจส่งออกมีมูลค่าที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยอื่นๆ ทำให้ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ สำหรับธุรกิจขนส่งทางทะเลก็เช่นกันที่ต้องปรับตัว และเตรียมรับมือ ด้านผลกระทบจากตัวเลขส่งออกที่ลดลงนั้น เนื่องจากบริษัทเรามีบริการที่ครบวงจร รองรับในทุกๆ ขั้นตอน จึงยังให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ส่งผลกระทบมากนัก ที่สำคัญถึงมูลค่าการส่งออกจะลดลง คือ Value ลดลง แต่ในเรื่องของปริมาณ หรือ Volume นั้น ไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด ปริมาณการส่งออกยังคงอยู่ในอัตราคงที่ มีการส่งออกสินค้าอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะเปลี่ยนไปที่ตัวของสินค้า และราคาของสินค้าที่ส่งออก จึงอาจสรุปได้ว่า ณ ปัจจุบัน ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล ยังมีอัตราการเติบโตที่คงที่ และใน 5 ปีข้างหน้าก็ยังคงมีการเติบโตอยู่ ยิ่งปัจจุบันมีการเข้าถึงการสั่งสินค้าระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น แนวโน้มการขนส่งทางทะเลจึงยังคงเป็นไปในทางที่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางบริษัทก็ต้องมีการเตรียมแผนงานล่วงหน้าในการรับมือไว้เช่นกัน โดยหนึ่งในนั้นคือการนำเทคโนโลยี และระบบ Business intelligence มาช่วย ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำให้เราบริหารและจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" นายทวินโชค กล่าวทิ้งท้าย
ด้านกัปตัน กุลเกียรติ บุญเทียม กัปตันเรือ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลนี้ ส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่ง นอกจากระบบบริหารจัดการแล้ว ตัวเรือก็มีส่วนสำคัญมาก บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการดูแล บำรุงรักษา และมีการซื้อเรือเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนให้ใหม่ และพร้อมให้บริการอยู่เสมอ โดยเรือลำนี้เราก็เพิ่งได้รับมาใหม่ ตั้งชื่อว่า LALIT BHUM หมายถึง ดินแดนแห่งความงดงาม มีขนาดความยาว 172.00 เมตร กว้าง 27.50 เมตร สูง 45.30 เมตร ทำความเร็วได้ 21 น๊อต สามารถบรรทุกสินค้าได้ 1,668 TEUS และมีลูกเรือประจำทั้งหมด 18 คน โดยจุดเด่นของเรือลำนี้คือเทคโนโลยีต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น สำคัญคือด้านการประหยัดน้ำมัน ลดลงจากเรือในคลาสเดียวกันที่ผลิตก่อนประมาณ 20% ซึ่งก็จะช่วยให้ค่า Carbon Footprint (ปริมาณก๊าซเรือนกระจก) นั้นลดลงตามไปด้วยเช่นกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกเรือ นอกจากนี้ บริษัทยังตระหนักถึงคุณภาพของสิ่งแวดล้อม โดยเรือลำนี้ได้ทำการติดตั้งเครื่องกรองไอเสียเพื่อช่วยลดบริมาณ Sulphur (กำมะถัน) ที่เรือปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศจากปกติ 3.5% จนเหลือไม่เกิน 0.5 % นอกจากนี้ยังติดตั้งเครื่องบำบัดน้ำอับเฉา ซึ่งป้องกันผลกระทบจากการปล่อยน้ำที่มีสัตว์น้ำต่างถิ่นลงสู่ทะเล ซึ่งจะทำลายความสมดุลทางชีวภาพในพื้นที่นั้นๆ
ทั้งนี้ภายในงานเปิดตัวเรือ LALIT BHUM มีการทำพิธีตั้งชื่อเพื่อเป็นมงคล โดยได้รับเกียรติจากพันธมิตรทางธุรกิจ คู่ค้า พนักงาน หน่วยงานราชการ และแขกผู้มีเกียรติ มีการพาเยี่ยมชมส่วนต่างๆ ของเรือ และสาธิตการใช้เครื่องมือต่างๆ แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการใช้ชีวิตบนเรือ โดยได้รับความสนใจอย่างมากมาย