บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย ในสัปดาห์นี้ SET Index จะผันผวนในกรอบ 1,670-1,700 จุด โดยนักลงทุนอยู่ระหว่างติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนช่วง 2Q/62 พร้อมแนะนำให้นักลงทุนติดตามผลการประชุมกนง.ในวันที่ 7 ส.ค. (ตลาดคาดคงดอกเบี้ย1.75%) ขณะที่ปัจจัยจากต่างประเทศยังมีความกังวลในประเด็น Trade wars ระหว่างสหรัฐฯ-จีน หลังนายโดนัลด์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 10% มูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ วันที่ 1ก.ย. 2562 จากผลกระทบจึงทำให้ราคาน้ำมันมี Upsideส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง และยังคงมีความผันผวนจากการทยอยประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ช่วง 2Q/62
ทั้งนี้ บล.เออีซี มองกลยุทธ์ลงทุนในช่วงสั้น โดยยังคงให้น้ำหนักหุ้นในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นศก.ของรัฐฯและยังมี Upside น่าสนใจ ได้แก่ หุ้น BJC (ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว HoH จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขาBigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigCราว 200 สาขา) หุ้นSEAFCO (ช่วง 2Q/62 คาดโต 5.4%YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อนเราปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท)
และ หุ้น DCC (คาดปี 62 โตYoYหนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขา ปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขาพร้อมปรับ Business Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเช่าเพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้รายได้แก่ บริษัท นอกจากนี้ยังซื้อขายที่ PER15.2X ถูกกว่าทั้ง GLOBAL และ HMPRO)
ส่วนหุ้นกลุ่ม Defensive Stock ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นเราเลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ หุ้น ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วง 2Q/62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.) และ หุ้น LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่าบวกกับมีกำไรจากการลงทุนใน HMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินทั้งปีโต YoY และคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัย ยังมีมุมมองต่อหุ้นกลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เหมาะกับการทยอยซื้อสะสม โดยเน้นหุ้นที่กำไรช่วง 2Q/62 คาดโต YoY และช่วง 2H62 โตต่อ แนะนำ หุ้น SAWAD (คาดกำไรปี 62 โต 30.8%YoY หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต 20-30% พร้อมแผนเปิดสาขาใหม่อีก 300 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้น โดยล่าสุด SAWAD รายงานการถือครองหุ้น BFIT หลัง Tender Offer ที่ 82.04% บวกกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร) และ หุ้น SELIC (คาดปี 62 เห็นการTurnaround ของกำไรสุทธิ หลังเริ่มรวมงบการเงินกับ PMCT ซึ่งคาดเห็น Synergy ชัดเจนขึ้นตามลำดับ ทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจมากเช่นปีก่อน)