นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ หนึ่งในบริษัทจากกลุ่มสถาบันการลงทุนจากประเทศอังกฤษ ประเมินภายหลัง ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็นไปตามที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปี นับตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.ปี 2551 อย่างไรก็ตามตลาดการลงทุนได้ตอบรับในแง่ลบ ทั้งดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯรวมถึงราคาทองคำ เนื่องจากประธานเฟดได้ระบุว่าไม่ได้รับประกันว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกในการประชุมครั้งต่อไป
นอกจากนี้ เฟด ยังตัดสินใจที่จะยุติการปรับลดงบดุล เร็วกว่ากำหนดเดิมถึง 2 เดือน ด้วยการระงับการปรับลดการถือครองพันธบัตรที่เฟดได้เข้าซื้อตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ระยะสั้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำจะได้รับแรงกดดันเชิงลบ
ด้านการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Non-Farm Payroll ) ที่ออกมาดี ส่งผลให้ค่าเงินสหรัฐแข็งค่าขึ้น และมีผลต่อราคาทองคำให้ปรับลดลง แต่อย่างไรก็ตามในระยะกลางถึงยาว ทองคำ ยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุนอยู่
"ในเชิงเทคนิคการที่ราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือระดับ 1,370 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 5 ปีได้ ถือว่าทองคำยังน่าสนใจในการลงทุน เพราะเป็นการหลุดกรอบไซด์เวย์ที่ยาวนานกว่า 5 ปีได้ หากราคาไม่หลุดต่ำไปกว่านี้ ยังพอได้มีโอกาสเห็นขาขึ้นรอบใหญ่ของทองคำได้อีกครั้ง"
ด้านปัจจัยพื้นฐาน มีสถิติจาก The World Gold Council ว่า ธนาคารกลางของชาติต่างๆทั่วโลกได้เข้าสะสมทองคำมาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2018 ได้เข้าสะสมทองคำกว่า 651.5 ตัน เพิ่มขึ้น 74% จากปี 2017 ประกอบกับการวิเคราะห์ของผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ระดับโลกอย่าง Ray Dalio ก็ออกมาพูดถึงทองคำว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุนของวงจรเศรษฐกิจโลกรอบต่อไป
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอย่างเช่น กรณีของ Brexit ที่นายกรัฐมนตรีใหม่ของอังกฤษค่อนข้างมีนโยบายแข็งกร้าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน
"ระยะสั้น ราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในกรอบไซด์เวย์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 1,380 เหรียญ หากหลุดลงจากราคานี้ แสดงว่าแนวโน้มราคาทองคำอาจไม่ใช่ขาขึ้นอีกต่อไป ส่วนแนวต้านสำคัญอยู่ที่ระดับ 1,450 เหรียญ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมก่อนหน้านี้ นักลงทุนสามารถจับจังหวะเก็งกำไรในกรอบราคาดังกล่าวได้ แต่ถ้าราคาผ่านจุดนี้ไปได้จะเป็นการยืนยันขาขึ้นที่ชัดเจน"