โครงการ "Life must go on…พลังเพื่อก้าวต่อไป" เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายที่ร่วมทำงานให้คนพิการ อาทิ ภาคส่วนท้องถิ่น บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) และทีมพนักงานจิตอาสา ที่ช่วยกันเข้ามาเติมเต็มและช่วยคนพิการ โดยเฉพาะคนพิการจากอุบัติเหตุจนไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงครอบครัวได้เหมือนเดิม โดยร่วมกันสร้างพลังกาย พลังใจ และพลังชีวิต
โครงการ "Life must go on…พลังเพื่อก้าวต่อไป" สร้างพลังกาย โดยฟื้นฟูสภาพร่างกาย และค้นหาศักยภาพ และเนื่องจากมีคนพิการจำนวนมากที่พร้อมช่วยเหลือดูแลตนเองเมื่อร่างกายเริ่มฟื้นฟู และกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ติดปัญหา ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปยังจุดต่างๆ ในบ้านหรือทำกิจวัตรต่างๆ ได้ตามตั้งใจ ทำให้ในแต่ละวัน คนพิการเหล่านั้นต้องอยู่กับที่และจำใจเป็นภาระของคนในครอบครัว สูญเสียความมั่นใจ และเก็บตัวจากสังคม โครงการฯ จึงสร้างพลังใจให้แก่คนพิการ โดยปรับสภาพแวดล้อมในบ้านเพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยเหลือและพึ่งพาตนเองได้มากที่สุด และป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้พวกเขาไม่รู้สึกว่าตนเป็นภาระที่คนในครอบครัวต้องดูแล
การปรับสภาพบ้านนั้น เริ่มจากการพูดคุยถึงชีวิตประจำวันและความต้องการที่แท้จริงของคนพิการแต่ละราย เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบปรับปรุงพื้นที่บ้านให้ตอบสนองความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปรับปรุงพื้นที่บางส่วนในบ้านให้สามารถใช้ประกอบอาชีพ สร้างรายได้ เมื่อมีการวางแผนออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้ว ทีมพนักงานจิตอาสาจากโรงงานของโอสถสภาที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงจะลงพื้นที่เพื่อร่วมปรับสภาพบ้าน เข้าตกแต่งความเรียบร้อย พร้อมให้ความรู้ จัดหาอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพที่เหมาะสม อาทิ โรงเพาะเห็ด บ่อเลี้ยงหอยขม คอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลให้คำแนะนำ และหาตลาดสำหรับผลผลิตของคนพิการแต่ละราย เพื่อสร้างพลังชีวิตให้พวกเขาสามารถดูแลตนเองและช่วยเหลือครอบครัวได้ต่อไป ซึ่งขณะนี้การปรับโครงสร้างบ้านได้เสร็จสมบูรณ์ในบางส่วนแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบบ้านที่ได้รับการปรับสภาพแวดล้อมแล้ว พร้อมอุปกรณ์สำหรับประกอบอาชีพให้แก่คนพิการที่เข้าร่วมโครงการฯ ในจังหวัดสระบุรี
"ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นพลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต โอสถสภาจึงร่วมเปลี่ยนภาระให้เป็นพลังเพื่อสู้ต่อ ผ่านโครงการ Life must go on...พลังเพื่อก้าวต่อไป โดยเน้นการช่วยเหลือด้านการสร้างอาชีพ เพื่อให้มีรายได้ดูแลตนเองได้ เพื่อสร้างพลังให้คนพิการสามารถยืนหยัดและก้าวต่อไปด้วยตนเองอย่างแท้จริงและยั่งยืน ตลอดจนสร้างเป็นโมเดลที่หน่วยงานอื่นๆ สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อขยายการช่วยเหลือไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศให้เป็นวงกว้างต่อไป" นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. โอสถสภา กล่าวในพิธีมอบบ้านที่จังหวัดสระบุรี
หนึ่งในคนพิการที่ได้รับมอบบ้านในครั้งนี้ คือนายวิชาญ ต่อสุวรรณ์ หรือน้องอาร์ม อายุ 22 ปี ซึ่งกลายเป็นคนพิการ หลังจากหกล้มและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะรายได้ไม่เพียงพอ ประกอบกับต้องทำงานล้อมต้นไม้ซึ่งส่งผลให้อาการเจ็บหัวเข่าทรุดหนักลงจนเดินไม่ได้ ต้องอยู่บนบ้านตลอดเวลา แต่ละวัน แม่ต้องกลับมาบ้านเพื่อเตรียมอาหารกลางวันและตักน้ำขึ้นไปชั้นสองเพื่อให้น้องอาร์มอาบ โครงการฯ จึงทำการปรับปรุงบ้านเพื่อให้น้องอาร์มสามารถลงมาใช้ชีวิตที่ชั้นล่างของบ้าน โดยมีพื้นที่ส่วนตัวที่เป็นสัดส่วน มีราวจับพยุงตัว และสร้างห้องน้ำไว้ในบริเวณใกล้กัน พร้อมกับจัดพื้นที่บางส่วนสำหรับการเพาะถั่วงอกเพื่อจำหน่าย ทำให้น้องอาร์มได้ก้าวออกสู่โลกภายนอกอย่างมั่นใจได้อีกครั้ง
นายประมูล สินปรุ แขนขาอ่อนแรง หลังจากเกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตกอย่างเฉียบพลันขณะเดินทางจากที่ทำงานกลับมาบ้าน หลังจากประสบกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พี่ประมูลมีความเครียดสูง รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระจนเคยคิดท้อแท้สิ้นหวังกับชีวิต ทางโครงการฯ ได้ปรับสภาพบ้านโดยเพิ่มราวจับโดยรอบเพื่อช่วยฝึกเดินให้คล่อง ปรับพื้นทางเดินไปห้องน้ำและในห้องน้ำ และปรับโถส้วมให้เป็นแบบราบ เพื่อช่วยให้พี่ประมูลสามารถเข้าห้องน้ำได้เองอย่างสะดวกและถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ ยังได้ปรับพื้นที่รกร้างข้างบ้านด้านข้างสำหรับการเพาะถั่วงอก ซึ่งทั้งหมดนี้ ช่วยสร้างความสุขให้กับพี่ประมูลและครอบครัวได้อีกครั้ง
"ก่อนหน้านี้ เราต้องดูแลพี่เขาตลอด เพราะพี่เขาเครียด หมดหวัง แต่พอมีราวจับรอบๆ บ้าน พี่ประมูลก็สามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเองมากขึ้น สบายใจขึ้น กระปรี้กระเปร่า บรรยากาศในครอบครัวก็ดีขึ้น เล่นกับลูกมากขึ้น ตัวเราก็มีเวลาออกไปทำงานข้างนอกได้ ถั่วงอกที่ปลูกก็ช่วยให้มีรายได้เข้ามา เอามาช่วยค่าใช้จ่ายประจำวันได้" นางสาวอัญชลี เพิ่มพูล ภรรยาของพี่ประมูลเล่าด้วยรอยยิ้ม
โอสถสภาพร้อมที่จะเป็นอีกหนึ่งพลังสนับสนุนให้คนพิการปรับเปลี่ยนความท้อแท้ ความรู้สึกเป็นภาระ ให้กลายเป็นพลังที่จะลุกขึ้นสู้ต่อ เพื่อให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตได้ด้วยตนเอง ได้อย่างเสมอภาค และมีความสุขในสังคม ซึ่งถือเป็นการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นแก่คนพิการอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน