ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้นำธุรกิจให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรระดับภูมิภาค เปิดเผยถึงผล ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการ 295.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 277.32 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 11.78 ล้านบาท
ส่วน 6 เดือนแรกปี 2562 บริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการ จำนวน 569.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.10 ล้านบาท คิดเป็น 3.66% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อนที่มีรายได้จากการให้บริการ 549.21 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 24.77 ล้านบาท ลดลง 0.56% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันกับปีก่อนที่มีกำไร สุทธิ 24.91 ล้านบาท ซึ่งกำไรที่ลดลงนั้นสาเหตุใหญ่เกิดจากบริษัทตั้งสำรองจ่ายค่าชดเชยสำหรับพนักงานที่เกษียณอายุ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับที่ 7 พ.ศ.2562
ทั้งนี้ บริษัทฯมีผลการดำเนินงานในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากการบริษัทฯมีรายได้ จากการให้บริการขนส่งทางทะเล เพิ่มขึ้น 19.74 ล้านบาท คิดเป็น 5.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯ ที่มีการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ส่วนรายได้จากการให้บริการขนส่งทางบกเพิ่มขึ้น 1.57 ล้านบาทคิดเป็น 1.04% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจการจัดการขนส่งสินค้าทางอากาศ มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากในเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ 2562 กลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการบางราย ย้ายฐานการขนส่ง แต่ก็ไม่กระทบต่อภาพรวมของบริษัทฯมากนัก เนื่องจาก บริษัทฯสามารถหารายได้เข้ามาชดเชยได้ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โซนิค อินเตอร์เฟรท (SONIC) กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์แบบเชิงรุกมากขึ้น เพื่อให้การเติบโต ของผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ว่าบริษัทฯจะมีรายได้โตเฉลี่ยปีละ 20% ทั้งในด้านการขยายฐานการให้บริการลูกค้าที่หลากหลาย ขยายพื้นที่ด้านลานจอด คลังเก็บสินค้า และ การเพิ่มรถบรรทุกหัวลาก เป็น 80 กว่าหัวลาก และหางลาก 180 หางลาก รวมถึงการเปิดกว้าง ในการเปิดรับพันธมิตร ซึ่งจะเป็นตัวสร้างให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในอนาคต
พร้อมทั้ง ยังกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯได้อยู่ระหว่างพัฒนาที่ดินในนิคมปิ่นทอง จำนวน 21 ไร่ เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ แก่ลูกค้าในเขตพื้นที่อำเภอศรีราชา และพื้นที่โดยรอบ รวมทั้งกลุ่มลูกค้า EEC เนื่องจากทำเลดังกล่าว ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดี เพราะใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด รวมทั้งใกล้สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา และใกล้มอเตอร์เวย์ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และให้บริการลูกค้าได้ในช่วงปลายปีนี้ เช่นเดียวกับพื้นที่การให้บริการที่แหลมฉบัง
อย่างไรก็ตาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ในปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อกิจการโลจิสติกส์ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งเบื้องต้นคาดจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 200-300 ล้านบาท เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและต่อยอดธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือ ทั้งนี้หากดำเนินการเข้าซื้อได้สำเร็จจะถือเป็นการขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรก