มสช.ห่วงอุบัติเหตุคร่าเด็กไทยวันละ 9 ศพ จับมือเยาวชน-ภาคี 17 องค์กร เคลื่อนมาตรการสร้างความปลอดภัยทางถนน

อังคาร ๑๓ สิงหาคม ๒๐๑๙ ๑๐:๑๓
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สถาบันยุว-ทัศน์แห่งประเทศไทย ห่วงสถานการณ์อุบัติเหตุในเด็กไทย จับมือ 17 องค์กรภาคีระดับประเทศ ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนความร่วมมือความปลอดภัยทางถนนสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชน พร้อมเคลื่อน 3 มาตรการสำคัญ หลังพบเยาวชนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงถึง 3,300 คนต่อปี เฉลี่ย 9 คนต่อวัน โดยเป็นช่วงอายุ 15-19 ปี บาดเจ็บและเสียชีวิตจากมอเตอร์ไซค์ เพราะไม่สวมหมวกกันน็อคมากที่สุด ด้าน รมช.สธ. รับปากนำประกาศเจตนารมณ์ถก ครม.เร็วๆ นี้ กังวลยอดบาดเจ็บ-เสียชีวิตยังสูง

วันนี้ (8 สิงหาคม 2562) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ร่วมกับ สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดงาน "Pathway to the Future เส้นทางสู่อนาคตที่ปลอดภัยของเด็กและเยาวชน" พร้อมลงนาม ประกาศเจตนารมณ์เพื่อการขับเคลื่อนความร่วมมือความปลอดภัยทางถนนสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชน ร่วม 17 องค์กร ได้แก่ มสช. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สถาบันยุวทัศน์-แห่งประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการขนส่งทางบก กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมควบคุมโรค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สกอ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยการบาดเจ็บในเด็ก Save the Children องค์กรช่วยเหลือเด็กประจำประเทศไทย และศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย (มนป.) เพื่อส่งเสริมการพัฒนานโยบายความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยได้รับเกียรติจาก นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) เป็นประธานลงนามประกาศเจตนารมณ์ ภายในงาน สัมมนาวิชาการระดับชาติ ความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 14 "เดิน ขี่ ขับ ไป-กลับ ปลอดภัย" 14th Thailand Road Safety Seminar "Play your part and share the road" ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก

นายพงศ์ธร จันทรัศมี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนกำลังกลายเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก โดยทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ปี พ.ศ. 2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน (Decade of Action for Road Safety) ตามปฏิญญามอสโก และเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกให้ความสำคัญและผลักดันเรื่องความปลอดภัยทางถนน โดยกำหนดเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงร้อยละ 50 ภายในปี 2563 ในส่วนของประเทศไทยได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้เช่นกัน โดยรัฐบาลประกาศให้ พ.ศ. 2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนของประเทศไทย แต่ปัจจุบันยังพบว่าการบาดเจ็บทางถนนยังคงห่างไกลจากการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal – SDG) ที่ 3.6 ที่ตั้งเป้าลดจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนลงครึ่งหนึ่ง

ขณะที่ ข้อมูลจากศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนซึ่งอ้างอิงสถิติขององค์การสหประชาชาติ (WHO) พบว่า จากการประมาณการผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของไทย ปี 2559 มีสูงถึง 22,491 ราย หรือเทียบเท่ากับมีผู้เสียชีวิต 60 คน บนถนนทุกวัน ร้อยละ 75 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 2 ล้อ และ 3 ล้อ และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี ทั้งนี้ จำนวนรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นจาก 19 ล้านคัน เป็น 20 ล้านคันในระยะเวลา 4 ปี

"ในรายงานมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนของ WHO เมื่อเร็วๆ นี้ ยังระบุอีกว่า ประเทศไทยมีกฎหมายและมาตรการส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนครบใน 5 ด้าน ได้แก่ ความเร็ว เมาแล้วขับ หมวกนิรภัย เข็มขัดนิรภัย และห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างขับรถ แต่กลับพบว่ามีข้อจำกัดในการส่งเสริมสร้างความความตระหนักของผู้ใช้รถใช้ถนน และการบังคับใช้กฎหมาย เห็นได้จากอัตราการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศ ประจำปี 2560 ของมูลนิธิไทยโรดส์ พบว่าเด็กไทยที่เป็นผู้ซ้อนท้ายสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 18 เป็นต้น" นายพงศ์ธร ให้ข้อมูลเพิ่ม

นายพงศ์ธร กล่าวต่ออีกว่า ข้อมูลสถานการณ์และปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายในข้างต้น ทำให้ภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ภาคธุรกิจเอกชน องค์กรสาธารณประโยชน์ รวมถึงเครือข่ายเด็กและเยาวชน ห่วงกังวลในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงรวมตัวเป็น เครือข่ายความร่วมมือเพื่อความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนในการสร้างความตระหนัก การเรียนรู้ และการบังคับใช้กฎหมายส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน ในกลุ่มเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ ผ่าน 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่

1.จัดให้มีทางเลือกในการเดินทางเพื่อทดแทนการขับขี่รถจักรยานยนต์ ด้วยการจัดให้มีรถรับส่งนักเรียน และพัฒนาการขนส่งสาธารณะให้ทั่วถึงและมีมาตรฐาน กรณีบ้านอยู่ใกล้สถานศึกษา ควรส่งเสริมการขี่รถจักรยานหรือเดินไปเรียน ทั้งนี้ หากต้องขับขี่ด้วยรถจักรยานยนต์ ต้องใช้หมวกนิรภัยในการขับขี่

2.สนับสนุนให้มีการเรียนรู้ตั้งแต่ปฐมวัย เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อนุบาล และต่อเนื่องไปทุกช่วงวัย ทั้งในด้านแนวคิด การรับรู้ความเสี่ยง และทักษะการขับขี่ โดยเด็กและเยาวชนต้องผ่านหลักสูตรด้านกฎหมายและการใช้ถนน ก่อนได้รับใบขับขี่อย่างเคร่งครัด พร้อมผลักดันการขับเคลื่อนแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน และมีการติดตามอย่างเป็นรูปธรรม

3.ผลักดันการขับเคลื่อน "วาระความปลอดภัยทางถนนของเด็กเยาวชน" และมีการติดตามอย่างเป็นรูปธรรม

"ทางเครือข่ายความร่วมมือฯ จะร่วมกันขับเคลื่อนประกาศเจตนารมณ์ข้างต้น โดยจะให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินงาน และน่ายินดีที่รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุขรับปากนำประกาศเจตนารมณ์ในวันนี้ เข้าหารือกับคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้ เพื่อหามาตรการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเห็นว่าตัวเลขเยาวชนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุยังสูงอยู่ " ตัวแทนจากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ระบุ

ด้าน นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์โลกด้านความปลอดภัยทางถนนประจำปี 2561 ของ WHO ยังพบด้วยว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก หรือร้อยละ 74.4 โดยพบว่าเป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 3,300 คนต่อปี หรือเฉลี่ย 9 คน ต่อวัน ในกลุ่มนี้เป็นเยาวชนอายุ 15-19 ปี บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์มากที่สุด สาเหตุส่วนใหญ่มากจากการไม่สวมหมวกนิรภัย

ขณะที่ ผลการสำรวจความเชื่อและสถานการณ์ต่ออุบัติเหตุในประเทศไทย จากตัวอย่างกลุ่มประชากรเด็กและเยาวชนในช่วงอายุ 10-25 ปี ทั่วประเทศไทย 1,151 คน โดยอยู่ระหว่างช่วงอายุ 16-20 ปี มากที่สุดร้อยละ 81.6 ที่ทางสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทยจัดทำขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่า เยาวชนทราบว่าการไม่สวมหมวกนิรภัยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บขั้นรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้สูงถึงร้อยละ 95.7 แต่กลับใส่สวมหมวกนิรภัยเวลาใช้จักรยานยนต์บางครั้งสูงที่สุดร้อยละ 65.5 และไม่ใส่เลยร้อยละ 7.3 ส่วนสาเหตุที่ไม่ใส่เพราะเห็นว่าระยะทางใกล้ร้อยละ 75.6 และคิดว่าไม่น่าเกิดอุบัติเหตุร้อยละ 4.9 ขณะที่อัตราเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองจากกรณีรถจักรยานยนต์ล้ม /ลื่นไถลมากที่สุดร้อยละ 26.2 บาดเจ็บจากอุบัติเหตุขั้นสาหัสร้อยละ 5.4 พร้อมกันนี้เรียกร้องให้ภาครัฐและองค์กรเอกชนเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอุบัติเหตุมากถึงร้อยะ 58

"การบาดเจ็บและเสียชีวิตนี้ ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน เช่น สูญเสียกำลังคนที่จะเติบโตมาพัฒนาประเทศ และอาจลุกลามไปถึงขั้นส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น การรักษาชีวิตของเด็กและเยาวชนในฐานะผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมดำเนินการ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้ให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้อุปกรณ์นิรภัย และสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ใช้รถใช้ถนน ให้เป็นไปในแบบได้คุณภาพมาตฐาน ทางสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีเครือข่ายเยาวชนแกนนำ ที่มีความรู้พร้อมขยายต่อในการลดการเจ็บตายบนท้องถนน ซึ่งน่าจะเป็นอีกกลไกนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดมากที่สุด โดยทางสถาบันฯ จะเน้นสร้างความตระหนักในกลุ่มนักเรียนอาชีวศึกษาทั่วประเทศเป็นกลุ่มแรก และทำเป็นแผนระยะยาว 5 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ใช้รถจักรยานยนต์มากที่สุด" เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ระบุ

ขณะที่ นายธนวัฒน์ พรหมโชติ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ปัจจุบันองค์กรหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคเอกชน ให้ความสนใจในเรื่องนี้ และคงดีมากยิ่งขึ้นหากแต่ละองค์กรมีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ในการสร้างความตระหนัก เสริมสร้างทักษะ และพัฒนามาตรการหนุนเสริมการบังคับใช้กฎหมายส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน ในกลุ่มเด็กและเยาวชนตามช่วงอายุต่าง ๆ นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เข้ามาเป็นหนึ่งพลังร่วมแก้ไขปัญหา ซึ่งตนเชื่อว่าปัญหาของเยาวชนโดยเฉพาะในเรื่องพฤติกรรมบนท้องถนน หากฟังเสียงและให้โอกาสให้เยาวชนได้เตือน ได้กระตุ้น กันเอง จะสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติไปในทิศทางเชิงบวกได้ และจะกลายเป็นฐานที่เข้มแข็งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

"ธงที่ตั้งไว้จากการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในครั้งนี้ คือ 1.ประเทศไทยจะต้องมีเครือข่ายเด็กและเยาวชนเพื่อความปลอดภัยทางถนนอย่างน้อย 1 เครือข่าย 2.ข้อเสนอนโยบายเพื่อความปลอดภัยทางถนนในกลุ่มเด็กและเยาวชนถูกน่าเสนอต่อนายรัฐมนตรีหรือผู้แทน 3.สร้างแกนนำเด็กและเยาวชนที่มีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์และนโยบายถนนปลอดภัยในกลุ่มเด็กและเยาวชนให้ได้ 200 คน และ 4.เครือข่ายเด็กและเยาวชนที่เกิดขึ้นนั้นสามารถวางแนวทาง แผนการขับเคลื่อนนโยบาย และมาตรการการเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนนได้เอง" รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO