กระดุม 5 เม็ด ต้องไปให้สุด เพื่อยกคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

อังคาร ๑๓ สิงหาคม ๒๐๑๙ ๑๑:๐๖
การอภิปรายของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ที่ผ่านมา หากมองในมุมกลาง ๆ ต้องยอมรับว่าเป็นการอภิปรายที่มองปัญหาเกษตรกรรมของไทยได้อย่างเป็นระบบ ลำดับไล่เรียงความสำคัญของปัญหา โดยมีการอุปมาอุปไมยถึงโมเดลกระดุม 5 เม็ด จนเกิดกระแสโด่งดัง สร้างดาวสภาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน และที่สำคัญทำให้เสียงของเกษตรกรเริ่มมีคนรับฟังมากยิ่งขึ้น

รายละเอียดโมเดลของกระดุม 5 เม็ด (แบบสรุป)

กระดุมเม็ดที่ 1 ปัญหาที่ดิน : 90% ของที่ดินถือครองโดยคนเพียง 10% ซึ่ง 75% เป็นคนไทยที่ไม่มีโฉนดเป็นของตนเอง และชาวนา 45% ยังต้องเช่าที่ดินอยู่ ทำให้ไม่สามารถเข้าสู่ระบบทุนนิยมได้

กระดุมเม็ดที่ 2 ปัญหาหนี้สิน : หากเกษตรกรอยู่ในวงจรหนี้สิน สิ่งแรกที่จะนึกถึงคือการรีบใช้หนี้ให้ได้ และทำให้ติดลูปปลูกพืชซ้ำ ๆ เดิม ๆ จนเป็นปัจจัยกดดันราคา

กระดุมเม็ดที่ 3 ต้นทุนสูง : เกษตรกรทำงานด้วยต้นทุนสูง แต่ได้ราคาต่ำ ทำให้ไม่สามารถเก็บออม และไม่มีเงินทุนเป็นของตัวเอง จึงไม่สามารถเข้าถึงการแปรรูปและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ได้

กระดุมเม็ดที่ 4 นวัตกรรม : การแปรรูปสินค้าเกษตร โดยเฉพาะกัญชามีคุณค่ามากกว่ามูลค่า และห่วงว่าคนไทยต้องนำเข้ากัญชา และมีทุนใหญ่ผูกขาดผลประโยชน์ คำถามคือจะผลักดันกัญชาทางการแพทย์ให้เป็นเบอร์ 1 ของเอเชียได้อย่างไร?

กระดุมเม็ดที่ 5 การท่องเที่ยวเชิงเกษตร : หลายคนต้องการพัฒนาตัวเองจากผู้ผลิต เป็นผู้ให้บริการเกษตรเชิงท่องเที่ยว แต่ติดปัญหาที่กระดุมเม็ดที่ 1 เหมือนเดิม

แม้ว่าปัญหาทั้งหมดที่เรียบเรียงออกมาเป็นกระดุม 5 เม็ดให้เข้าใจได้ง่ายนี้ ก็ยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหาโดยรวมของพี่น้องเกษตรกรทั้งประเทศ ซึ่งมีอีกมากมายหลายปัญหาที่ต้องแก้ไข ซึ่งสังเกตได้ง่าย ๆ ว่ายังไม่พบเกษตรกรตัวจริงของประเทศ ที่ร่ำรวยได้เหมือนเกษตรกรแถบในประเทศ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา ฯลฯ เรียกว่าเกือบ ร้อยทั้งร้อย ผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรยังยากจนข้นแค้นและมีหนี้สินอยู่มาก....

แต่ก็ต้องขอบคุณท่าน ส.ส.พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้ทำให้รัฐบาลและประชาชนในสาขาอาชีพอื่น ๆ ได้รับรู้ถึงปัญหาหลัก ๆ เหล่านี้จากโมเดลกระดุม 5 เม็ด และอยากจะฝากเพิ่มเติมเข้าไปในเรื่องต่าง ๆ อีกเพื่อให้สื่อมวลชนและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ และเข้ามาดูแลแก้ไขปัญหาให้พี่น้องเกษตรกรของเราให้สามารถดำรงชีพได้แบบลืมตาอ้าปากกันจริง ๆ ด้วยการช่วยกันกระตุ้นให้รัฐบาลแก้ไข หรือ กำหนดนโยบายดำเนินการ ช่วยเหลือเกษตรกรได้ตรงจุดดังนี้

1. การจัดสรรที่ดินทำกินของพี่น้องเกษตรกรและประชาชนผู้ยากไร้ ควรยกเลิกกฎระเบียบและข้อจำกัดที่มีเงื่อนไขไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตออกไป และควรยกเลิก ควบคุม ดูแล อย่าปล่อยให้นายทุนเช่า สัมปทาน อีกทั้งไปออกกฎหมายให้ถือครองที่ดินแบบพิเศษ ซึ่งรัฐได้ผลตอบแทนน้อยมาก

2. บริหารจัดการแหล่งน้ำ สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้เข้าถึงที่ดินและแหล่งทำกินของประชาชนหรือเกษตรกร เพื่อแก้ปัญหา น้ำท่วม ภัยแล้ง ซ้ำซาก และอำนวยความสะดวกในการดำรงชีพและทำอาชีพเกษตรกรรม

3. เกษตรกรมีหนี้สิ้นล้นพ้นตัว เกินมูลค่าที่ดินและหลักทรัพย์ เกษตรกรอีกส่วนหนึ่งติดแบล็คลิสก์ จึงไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ในระบบ จึงขาดเงินทุนในการดำเนินงาน เรื่องนี้ต้องแก้ไขและช่วยเหลืออย่างจริงจัง

4. เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงเงินที่รัฐจัดลงไปให้โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น งบพัฒนาจังหวัดที่ผ่านหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ พัฒนาชุมชน หรือแม้กระทั่งงบผ่านธนาคารออมสิน กรุงไทย ธกส. SME. เพราะติดที่ข้าราชการหรือผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น พนักงานรัฐหรือพนักงานธนาคาร ปัจจัยเหล่านี้นำพาพวกเขาเข้าสู่หนี้นอกระบบ

5. ต้องส่งเสริมเรื่อง "เกษตรอินทรีย์" "เกษตรปลอดสารพิษ" อย่างจริงจัง ด้วยการสร้างมาตรฐานที่น่าเชื่อถือและในเบื้องต้นเพื่อสร้างราคาที่แตกต่าง จนกว่าจะเริ่มกลับสู่จุดสมดุลและราคาไม่แพง ไม่ใช่มีการรับรองและได้ตราสัญลักษณ์จากภาครัฐแล้ว แต่กลับตรวจพบสารพิษตกค้างอยู่แถมได้ขายอยู่บนห้างชั้นนำของประเทศด้วย ซึ่งทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญควรกำหนดให้มีเพียงมาตรฐานเดียวเท่านั้นและสามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลกให้เป็นสากล

6. เปิดโอกาสให้เกษตรกร ผลิตปัจจัยการผลิตและจัดจำหน่ายได้ด้วยตนเอง ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ จุลินทรีย์และสมุนไพรในการกำจัดโรคแมลง สารชีวภัณฑ์ต่าง ๆ โดยให้มีการประกวดแข่งกันผลิตให้ได้มาตรฐานที่ต้องการ โดยเริ่มคัดเลือกจาก 10,000 คนในปีแรก และคัดเลือกให้เหลือ 5,000 คนในปีถัดไป และคัดเลือก ไปเรื่อย ๆ จนได้เกษตรกรหรือปราชญ์ชาวบ้านหัวก้าวหน้าที่สามารถผลิตปัจจัยการผลิตเกษตรอินทรีย์ เพื่อทดแทนเงินตราที่รั่วไหลออกนอกประเทศจากการนำเข้าสารพิษวัตถุอันตรายปีละเกือบ 100,000 ล้านบาท และรวมถึงการดูแลรักษาพยาบาลโรคภัยไข้เจ็บจากสารพิษการเกษตร โดยรัฐต้องเสียเงินอีกมากมายมหาศาล

ทั้งหมดคือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในมุมของชมรมเกษตรปลอดสารพิษ ที่ต่อยอดมาจากโมเดลกระดุม 5 เม็ดของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้แต่หวังให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันมาทบทวนและนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกร ประชาชน และประเทศชาติของเราให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปครับ

สนับสนุนบทความโดยนายมนตรี บุญจรัส

กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัด (ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ)

สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 986 1680 – 2

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๕ เม.ย. Electronic Nose นวัตกรรมตรวจวัดกลิ่น! เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี กรมอนามัย ร่วม MOU กรมควบคุมมลพิษ และ 4 หน่วยงานรัฐ - เอกชน
๒๕ เม.ย. ITEL ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 68 ไฟเขียวอนุมัติแจกวอร์แรนต์ฟรี ลุยขยายธุรกิจ
๒๕ เม.ย. สวทช. โดย นาโนเทค เฟ้นหา 8 ผู้ประกอบการ ต่อยอดนวัตกรรมสมุนไพรสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
๒๕ เม.ย. คาเฟ่ แคนทารี ชวนมาลิ้มลองเมนูพิเศษประจำเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568 อร่อยครบเครื่องทั้งรีซอตโตต้มยำ เครป
๒๕ เม.ย. ซีพี ออลล์ x มูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่ออาชีพแก่เยาวชนในจังหวัดภาคใต้
๒๕ เม.ย. ซีพีแรม ดีเดย์ เปิดเวที FINNOVA 2025 : ยกระดับความรู้สู่นวัตกรรมอาหาร ปักหมุดไทยศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารโลก
๒๕ เม.ย. ดีไซน์เพื่อชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง: อาดิดาส ออริจินอลส์ เผยโฉม ADIZERO ARUKU พร้อมพื้นรองเท้าแบบโปรเกรสซีฟ
๒๕ เม.ย. พรีโม จับมือ Q-CHANG จัดทัพทีมช่างกว่า 2,000 ทีม! ยกระดับบริการซ่อมห้องชุด ตอกย้ำแนวคิด Primo Happy Maker
๒๕ เม.ย. ครั้งแรก กับ Dance (แดนซ์) Glossy Body Hair Perfume Mist น้ำหอม 2-in-1 พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เก๋ไก๋ บุกใจกลางกรุง ชวนสาวๆ
๒๕ เม.ย. SCB CIO ชี้ 3 ปัจจัยกระทบตลาดการเงินฉุดสินทรัพย์ทั่วโลกผันผวน แนะระวังการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มน้ำหนักหุ้นกู้ระยะสั้นคุณภาพดี และ