นายเดชา จาตุธนานันท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี อย่างจริงจัง เนื่องจากเอสเอ็มอี มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ มีสัดส่วนต่อจีดีพีของประเทศมากกว่าร้อยละ 40 มีสัดส่วนต่อการจ้างงานมากถึงร้อยละ 80 จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งของเอสเอ็มอี คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐ จึงมีความจำเป็นต้องเข้ามาสนับสนุนเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ภายใต้แผนการส่งเสริมเอสเอ็มอี ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2560 – 2564) ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่จะทำให้แผนงานประสบผลสำเร็จ คือ การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพเข้าถึงตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ดำเนินโครงการเตรียมความพร้อมเอสเอ็มอี เพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งมุ่งเน้นส่งเสริมและสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถพัฒนาศักยภาพตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมธุรกิจในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีเอสเอ็มอี เข้าร่วมโครงการฯ และผ่านกระบวนการขั้นตอนคัดเลือกที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งสิ้น 10 กิจการ ปัจจุบันมีบริษัทที่สามารถแปรสภาพจากบริษัท จำกัด เป็น บริษัท มหาชน และดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขาย (Derivative Warrants: DW ซึ่งเป็นตราสารที่ผู้ออกให้สิทธิกับผู้ซื้อในการซื้อหุ้น) และร่างหนังสือชี้ชวน (แบบ filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไปแล้ว จำนวน 1 ราย และมีบริษัทที่อยู่ในขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ภายในปี พ.ศ. 2563 อีก 3 ราย ส่วนที่เหลือมีเป้าหมายเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปี พ.ศ. 2565
"กสอ. มีบทบาทและภารกิจในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเอสเอ็มอีให้เกิดขึ้น สามารถอยู่รอด และเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดและขยายธุรกิจผ่านการระดมทุนในตลาดทุนของไทย สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และมีโอกาสในการเลือกระดมทุนผ่านการออกหลักทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ได้ง่าย เช่น หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ อีกทั้งยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกิจการ ทำให้บริษัทเป็นทีรู้จักและได้รับการยอมรับของสาธารณชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สำหรับกิจการที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เหล่านี้ ถือเป็นต้นแบบในการพัฒนาเพื่อขยายผลให้เอสเอ็มอีอื่น ๆ สามารถศึกษาแนวทางการพัฒนา วิธีการดำเนินงาน ตลอดจนกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับใช้ในธุรกิจของตน นำไปสู่มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นได้" นายเดชา กล่าวทิ้งท้าย