นางสาวเรณุมาศ อิศรภักดี รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนประกอบหลักมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ ในรูปแบบการรับจ้างพัฒนาและผลิต (ODM) ที่ให้บริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ซึ่งได้รับมาตรฐานระดับสากล เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯมีการปรับแผนโครงสร้างทางธุรกิจ นับตั้งแต่ปลายปี 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทฯปรับโครงสร้าง ธุรกิจครั้งใหญ่ โดยผ่านการหาพันธมิตรทางธุรกิจ มาร่วมเป็น Strategic Partner ภายใต้การจัดตั้งบริษัทย่อย และบริษัทร่วมทุน เพื่อให้ธุรกิจครอบคลุมการให้บริการที่มีความหลากหลาย เพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบบครบวงจร ให้สอดรับกับแนวทางพัฒนาการให้บริการในรูปแบบ One Stop Service Solution เพื่อสร้างอัตราการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
ซึ่งจากแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้ทิศทางภาพรวมธุรกิจ ในช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้น โดยจะเห็นได้จากยอดออเดอร์ ผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จากบริษัท อัลทิมา ไลฟ์ จำกัด (DOD ถือหุ้นอยู่ 80%) ซึ่งดำเนินธุรกิจในรูปแบบขายตรง ภายใต้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่เน้นสารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด อาทิ One Whey (เวย์โปรตีน) , Levarean (เลวารีน), Prepo Fiber and Detox (เพรโป), Callox (แคลล็อกซ์), Zinegra (ซิเนกร้า) ,DOD H.Coffee (ดีโอดี เอช. คอฟฟี่) และ R3verse Vine (อาร์3เวิสวายน์) โดยล่าสุดมีออเดอร์ เข้ามาแล้วมูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลรูปร่างและผิวพรรณ,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ
ในขณะที่บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด (PCCA) ดำเนินธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และสกินแคร์ แบบครบวงจร ซึ่งเป็นการลงทุนผ่าน บริษัท ดีโอดี เฮ้ลท์ตี้ไลฟ์ จำกัด(DOD ถือหุ้นอยู่ 99.99%) นั้น หลังจากที่บริษัทฯได้มีการออกแบบ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายชนิดผลิตภัณฑ์ อาทิ ครีมกันแดด แผ่นมาร์คหน้า ลิปสติก ครีมรองพื้น โฟมล้างหน้า ครีมสครับหน้า โลชั่นกันยุงสำหรับเด็ก ฯลฯมากขึ้น ส่งผลให้ล่าสุด มียอดออเดอร์ที่สั่งผลิตในรูปแบบOEM เข้ามาแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ ตั้งแต่ไตรมาส3/2562 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจัดตั้งบริษัทร่วมทุน กับบริษัทผู้ประกอบการในประเทศจีน เพื่อดำเนินธุรกิจ ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผ่านช่องทาง E-Commerce หรือผ่านระบบออนไลน์ ในประเทศจีน โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าว DOD ถือหุ้นสัดส่วน 25% ของทุนจดทะเบียนจำนวน 4 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายคือ การนำผลิตภัณฑ์ในเครือข่ายของบริษัทฯไปจำหน่าย ผ่านช่องทาง E-Commerce หรือผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันตลาด E-Commerce ในประเทศจีน มีมูลค่าข้างสูงที่สุดในโลก ดังนั้นเชื่อว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสและสร้างมูลค่าการเติบโตทางธุรกิจให้กับ DOD ได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต โดยเบื้องต้นคาดว่า กระบวนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะเริ่มดำเนินการ ทำการตลาดในเชิงพาณิชย์ ได้ในช่วงต้นปี2563
พร้อมทั้ง คณะกรรมการ ยังมีมติจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อเข้ามาบริหารจัดการโรงสกัดวัตถุดิบประเภทสมุนไพร จากเดิมที่อยู่ภายใต้การบริหารของ DOD ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการคล่องตัว ในการบริหารจัดการ ด้านการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยทาง DOD ยังคงสัดส่วนการถือหุ้น 99.99% พร้อมกับเตรียมงบลงทุนประมาณ 260 ล้านบาท นำมาขยายโรงสกัดวัตถุดิบ ลงทุนซื้อเครื่องจักรและห้องปฏิบัติการวิจัย เพื่อสกัดและส่งออกสมุนไพร ไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน เนื่องจากโดยเฉลี่ยแต่ละปี จีนมีการนำเข้าสารสกัดจากสมุนไพรเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปพัฒนาเป็นยารักษาโรค หรือส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น เวชสำอาง รวมถึงนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเพื่อดูแลสุขภาพ ดังนั้นเชื่อว่าบริษัทย่อย ดังกล่าว จะเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจของDOD ได้ในอนาคต โดยคาดว่าโรงสกัด ดังกล่าวคาดจะแล้วเสร็จอย่างช้าที่สุดช่วงปลายปี2563
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯมีรายได้รวม 128.40 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 17.85 ล้านบาท และมีผลการดำเนินงานงวด6 เดือนแรก 2562 โดยมีรายได้รวม 251.53 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 59.05 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯมีผลประกอบการลดลงเนื่องจาก ในไตรมาส 2/2562 บริษัทมีการรับรู้รายได้ที่ลดลงจากการขายระหว่าง บริษัท กับ บริษัท อัลติมาไลฟ์ จำกัด (บริษัทย่อย) จึงทำให้ภาพรวมของบริษัทไม่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในงวดปัจจุบัน ซึ่งสินค้าดังกล่าวเมื่อมีการขายจาก บริษัท อัลติมาไลฟ์ จำกัด ให้แก่ลูกค้า
บริษัทฯจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 3/2562 ส่งผลให้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2562 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นไปตามแผน ที่บริษัทฯตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำ 10% อย่างแน่นอน