โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจให้มากขึ้นและลดขั้นตอนการทำงานโดยใช้เทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อนทั้งด้านการขายและบริการสินไหม ล่าสุดบริษัทฯ ได้เริ่มต้นเฟสแรกด้วยการเปลี่ยนระบบ Core Insurance ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ เมื่อแล้วเสร็จจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีภายในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการวางโครงสร้างเพื่อเตรียมรองรับการทำ Data Analytic เพื่อเข้าสู่ Digital Transformation อย่างเต็มรูปแบบ มุ่งสู่ความเป็น Insuretech ในที่สุด อีกทั้งยังสนับสนุนให้การเชื่อมต่อระบบ Web Service กับตัวแทนรายย่อย โบรกเกอร์ และคู่ค้า มีความรวดเร็วและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงและการมีบรรษัทภิบาลที่ดี การปรับระบบงานรับประกันที่มุ่งเน้นรับงานคุณภาพ การบริการสินไหมที่ดีและรวดเร็ว ภายใต้ระบบควบคุมตรวจสอบภายในที่เคร่งครัด รวมทั้งการสร้างความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งด้านผลิตภัณฑ์ การบริการ ช่องทางการขยายงานผ่านลูกค้ากลุ่มต่างๆ ทั้งในกรุงเทพ ต่างจังหวัด รวมถึงสร้างพันธมิตรใหม่เพื่อร่วมกันนำเสนอบริการที่ดีที่สุดแก่ผู้เอาประกัน
ในส่วนของการปรับโครงสร้างทางการเงิน เมื่อแผนเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,081,754,992 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นไปอย่างเรียบร้อยภายในไตรมาส 4 แล้ว บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายงานตามแผนธุรกิจเชิงรุก รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการลงทุนซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรโดยร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการทำธุรกิจร่วมกันภายใต้รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ คล่องตัวและยืดหยุ่นกับทุกสถานการณ์
"เราเชื่อว่าการเติบโตอย่างมั่นคงต้องเริ่มจากการพัฒนาจากภายในออกสู่ภายนอก ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมา TSI Insurance จึงมุ่งเน้นในการปรับโครงสร้างระบบการทำงานภายใน การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่นเดียวกับการเตรียมความพร้อมทางการเงินซึ่งเป็นการสร้างรากฐานสำคัญก่อนเดินหน้าขยายธุรกิจ ดังนั้นเม็ดเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ อีกส่วนหนึ่งจะใช้ในการขยายธุรกิจ การดำรงเงินกองทุนให้เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจและข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งในไตรมาส 2 ของปีนี้บริษัทฯ ยังคงมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) เหนือกว่าเกณฑ์ที่สำนักงาน คปภ.กำหนด" นางสาวอรลดากล่าว
ด้านนางสาวคณิดา นิมมาณวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ปี 2562 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิจำนวน 54.1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 1.1 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว เกิดจากค่าใช้จ่ายโดยรวมที่ลดลงจำนวน 52.9 ล้านบาท โดยค่าสินไหมทดแทนลดลง 36.5 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากพัฒนาการสินไหมของกรมธรรม์ที่มีอัตราความเสียหายสูงกว่าอุตสาหกรรมใกล้จะครบ (กรณีที่มีการเรียกร้องแล้ว) ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมลดลงจาก 96.6 ล้านบาท เป็น 87.7 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2562 บริษัทฯ ได้รับรู้ผลแตกต่างชั่วคราวทางภาษี และผลประโยชน์ทางภาษีอื่นเป็นรายได้ภาษีเงินได้จำนวน 130.5 ล้านบาท ในงบกำไรขาดทุนสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 เนื่องจากบริษัทฯ มี Roadmap ในการเพิ่มทุนตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น รวมถึงนโยบายการขยายงานตามแผนธุรกิจที่มองเห็นศักยภาพในการเติบโตที่ชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 12 เรื่องการบัญชีภาษีเงินได้รอตัดบัญชี
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 39.1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 23.9 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2561 ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่แสดงกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 63.0 ล้านบาท เกิดจากค่าใช้จ่ายรวมที่ลดลง 126.2 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายสินไหมลดลง 81.8 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นลดลง 28.3 ล้านบาท จากการลดลงของการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และอัตราการเก็บเงินที่ดีขึ้น