ดร.ไพรัตน์ ศรีชนะ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวิชาการอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯให้ความสำคัญกับการคิดค้นนวัตกรรมด้านการผลิตอาหารสัตว์และพัฒนาเทคโนโลยีด้านโภชนศาสตร์สัตว์ที่เป็นมิตรกับชุมชนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาสูตรอาหารสัตว์ให้เหมาะสมกับความต้องการของสัตว์ ประยุกต์ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากไบโอเทคโนโลยี โดยอาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อมที่คำนึงถึงการลดปริมาณสารอาหารส่วนเกินในสิ่งปฏิกูลที่สุกรขับถ่ายออกมา เช่น ปริมาณไนโตรเจนซึ่งเป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดได้นำแนวคิดดังกล่าวขยายผลไปยังธุรกิจไก่ไข่และธุรกิจไก่เนื้อด้วย
ปัจจุบัน ฟาร์มสุกรของซีพีเอฟทั่วประเทศใช้อาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อม และได้ขยายผลไปยังธุรกิจผลิตอาหารสุกรในอีก 7 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน และรัสเซีย โดยใน ปี 2561 อาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถลดปริมาณไนโตรเจนในมูลสุกรได้ถึงร้อยละ 20-30 เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ประมาณ 90 ตัน หรือเทียบเท่ากับการปลูกป่า 3,600 ไร่ ซึ่งสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 41,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
"อาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารแต่ยังลดปริมาณไนโตรเจนที่สุกรขุนขับออกมาในรูปสิ่งขับถ่าย หรือลดการปล่อยไนไตรเจนในรูปแอมโมเนีย ซึ่งจากการวิจัยและพัฒนาสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ในอาหารสุกรอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณโปรตีนส่วนเกินลดลงจาก 20 % เหลือ 18 % และมีเป้าหมายจากอาหารสุกรรักษ์สิ่งแวดล้อมไปสู่อาหารสุกรที่มีโปรตีนต่ำ"
ดร.ไพรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นรักษาคุณภาพในการเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์อย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับ 3 ด้าน คือ 1.Healthy People คุณภาพของอาหารสัตว์ที่ทำให้สัตว์มีสุขภาพที่ดีจะส่งผลไปถึงสุขภาพของผู้บริโภคด้วย 2. Healthy Social อาหารสัตว์ที่นำไปใช้ต้องทำให้ทั้งเกษตรกรและคู่ค้าของบริษัทเติบโตไปด้วยกัน และ 3.Healthy Environment การผลิตอาหารสัตว์ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย .