ดร.ณรงค์ฤทธิ์ เผยถึงภาพรวมตลอดการแข่งว่า "ภาพรวมถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะมีหลายๆ โรงเรียนให้ความสนใจเข้าร่วมแข่งขัน แต่จากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทำให้เราต้องรับจำนวนจำกัด 112 โรงเรียนทั่วไทย ซึ่งจากปีแรกที่เราได้จัดขึ้น เราได้เห็นหลายๆ อย่างที่ต้องนำไปพัฒนาต่อไปให้ดีขึ้นไปอีก ทั้งวัน และเวลา ในการจัดการแข่งขัน รวมถึงการเปิดรับสมัครทีมเข้าร่วมแข่งขันที่จะมากขึ้น นอกจากนี้ เราอาจปรับลดอายุลงมา เพื่อเปิดโอกาสให้หลายๆ ทีมได้มีส่วนร่วม และยังจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับเยาวชนได้แสดงออกอย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่า ทีมโค้ชจาก บีจีพียู อะคาเดมี่ เข้ามาดูฟอร์มด้วย ซึ่งน้องๆ ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ก็อาจมีสิทธิ์ได้เป็นส่วนหนึ่งของ บีจีพียู อะคาเดมี่ ในอนาคตก็ได้"
ขณะที่ นายวรเดช กล่าวว่า "ต้องขอบคุณพันธมิตรของเราอย่าง ไทย-เดนมาร์ค ที่มีเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาสุขภาพ และศักยภาพของเยาวชน ซึ่งคุณปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ของเรามองว่า กีฬาคือการพัฒนาศักยภาพของคนเราอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะกีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล ซึ่งเมื่อเป้าหมายตรงกัน จึงเกิดโครงการ ไทย-เดนมาร์ค ฟุตบอล ทัวร์นาเมนท์ ขึ้น และจากผลตอบรับที่ดีมาก ทำให้จะมีการจัดต่อไปเรื่อยๆ เป็นโครงการระยะยาว อย่างเช่น ไทย-เดนมาร์ค ที่เป็นพันธมิตรกับเรามาอย่างยาวนาน"
สำหรับผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศปรากฏว่า โรงเรียนเทพศิรินทร์ ชนะจุดโทษโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 5-4 หลังเสมอในเวลา 70 นาที 1-1 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ โรงเรียนวชิราลัย ที่ชนะจุดโทษโรงเรียนถาวรานุกูล 2-1 (เสมอในเวลา 0-0) โดยคู่ชิงที่ 3 เป็นการพบกันระหว่าง โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี กับ โรงเรียนถาวรานุกูล