นางสาวธิดาศิริกล่าวต่อไปว่า กองทุน LTF ทั้ง 4 กองทุน มีนโยบายจ่ายปันผลปีละไม่เกิน 2 ครั้ง และมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management Strategy) ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีชี้วัด ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับรายได้สม่ำเสมอระหว่างการลงทุน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยกองทุน KDLTF มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ชั้นนำที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และถือเป็นกองทุนที่มีการจ่ายปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุน LTF อื่นๆ ของบลจ.กสิกรไทย โดยมีการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลา 12 ปี มากถึง 18 ครั้ง เป็นเงิน 8.35 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ กองทุนมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 2.80% ต่อปี (คำนวณ Dividend Yield ณ วันที่ 2 ก.ย. 62)
ด้านกองทุน K20SLTF ได้รับการจัดอันดับจากมอนิ่งสตาร์ (Morningstar Rating) 5 ดาวในช่วงระยะเวลา 5 ปี และ Overall Morningstar Rating 4 ดาว ในกลุ่ม Equity Large-Cap (ข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ 30 ส.ค. 62) โดยมีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นเด่นที่มีศักยภาพสูงไม่เกิน 20 บริษัท ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2550 ได้มีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 17 ครั้ง เป็นเงิน 6.88 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 2.41% ต่อปี (คำนวณ Dividend Yield ณ วันที่ 2 ก.ย. 62)
ส่วนกองทุน KGLTF ได้รับการจัดอันดับ Overall Morningstar Rating 3 ดาว ในกลุ่ม Equity Large-Cap (ข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ 30 ส.ค. 62) โดยมีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2550 ได้มีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 18 ครั้ง เป็นเงิน 7.39 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 2.60% ต่อปี (คำนวณ Dividend Yield ณ วันที่ 2 ก.ย. 62)
สำหรับกองทุน K70LTF มีนโยบายที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำไม่เกิน 70% ของพอร์ต และลงทุนในตราสารหนี้เพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2548 ได้มีการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี รวมแล้วทั้งสิ้น 22 ครั้ง เป็นเงิน 6.98 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 2.57% ต่อปี (คำนวณ Dividend Yield ณ วันที่ 2 ก.ย. 62)
"มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกไม่ว่าจะเป็น (1) ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังคงมีความยืดเยื้อ (2) ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และ (3) ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เกิด Inverted Yield Curve สะท้อนถึงโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ทยอยประกาศใช้ น่าจะช่วยรองรับความผันผวนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้บ้าง โดยคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,640 – 1,690 จุด ก่อนที่นักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจกับการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ในเดือน ต.ค. ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาว โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและสภาพคล่องในโลกที่ยังสูง จึงแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุน โดยคาดการณ์ SET Index ปลายปี 62 ไว้ที่ระดับ 1,700 - 1,750 จุด ทั้งนี้ขึ้นกับสถานการณ์ของสงครามการค้าเป็นหลัก สำหรับกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนหุ้นไทยในช่วงนี้ยังคงเน้นการคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) ที่มีแนวโน้มการเติบโตของอัตราผลกำไรอย่างชัดเจน รวมถึงหุ้นที่มีระดับ Valuation ที่เหมาะสม เพื่อกระจายความเสี่ยงและช่วยลดความผันผวนจากสภาวะตลาด" นางสาวธิดาศิริกล่าว
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน LTF ของบลจ.กสิกรไทย สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาทผ่านแอป K-My Funds, บริการ K-Cyber Invest, ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888