อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศไทย ดูเหมือนว่าท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จะมีแสงสว่างปรากฏอยู่ โดยมาในรูปของการลงทุนจากบุคคลชาวต่างชาติที่สมัครเข้าร่วมโครงการลงทุนเพื่อขอพำนักอาศัย (residence-by-investment program) ในไทยเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนการย้ายที่ตั้งของบรรดาบริษัทต่างชาติเพื่อคว้าความได้เปรียบจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวยและมีเสถียรภาพที่ประเทศไทยนำเสนอแก่ชาวต่างชาติ
Dominic Volek หัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทเฮนลี่ย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน เปิดเผยว่า ชาวเอเชียที่สมัครเข้าร่วมโครงการ Thailand Elite Residence Program เพิ่มขึ้น 50% ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (กรกฎาคมและสิงหาคม) เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอดสมัครจากฮ่องกงเพิ่มขึ้นสามเท่าในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบกับช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงกรกฎาคม 2562 รวมกัน
"เมื่อพิจารณาจากความสนใจของชาวจีนที่มีต่ออสังหาริมทรัพย์หรูหรา สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีความน่าดึงดูดมากขึ้นจึงมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยปัจจุบันจีนเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมเงินทุนไหลออก ขณะที่ชาวจีนเองก็เริ่มหันไปหาอสังหาริมทรัพย์ที่มีช่วงระดับราคาต่ำลง ซึ่งประเทศไทยมีข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมที่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ โดยคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงไฮเอนด์ในประเทศไทยมีช่วงราคาอยู่ที่ 40,000 - 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นราคาที่จ่ายได้เมื่อเทียบกับการซื้ออสังหาฯ ในออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร หรือสหรัฐอเมริกา" Volek กล่าวเสริม
โครงการ Thailand Elite Residence Program ให้วีซ่าแบบ multiple-entry แก่ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติตรงตามกำหนด โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศและพำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เป็นระยะเวลา 5-20 ปี ในราคาแบบจ่ายครั้งเดียว ซึ่งเริ่มตั่งแต่ 500,000 บาท (ประมาณ 16,000 ดอลลาร์สหรัฐ) จนถึง 2.14 ล้านบาท (ประมาณ 68,000 ดอลลาร์สหรัฐ)
ในขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้นนั้น ดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังจะได้รับรางวัลตอบแทนความพยายามตลอดไม่กี่ปีที่ผ่านมาในการที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางสำหรับธุรกิจและนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามในภูมิภาค รองจากฮ่องกงและสิงคโปร์
สื่อมวลชนติดต่อ
Paddy Blewer
Group PR Director
มือถือ: +44-774-190-9957