ส่องหลักสูตรการศึกษานานาชาติอังกฤษดีอย่างไร?

จันทร์ ๒๓ กันยายน ๒๐๑๙ ๐๙:๓๙
หลักสูตรการศึกษานานาชาติล้ำๆของฝั่งอังกฤษ (UK) ดีอย่างไร ทำไมหลักสูตรการเรียนการสอนของอังกฤษ จึงเป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก ข้อมูลของ International School Market Research and Trends พบว่า ในปี 2561 มีโรงเรียนนานาชาติกว่า 3,500 โรงเรียน จากราวหนึ่งหมื่นโรงเรียนทั่วโลก หรือกว่า 30 % ใช้ระบบการเรียนสอนของอังกฤษ ในขณะที่การเรียนการสอนแบบ Bilingual, US และ IBDP ก็เป็นที่นิยมรองลงมาตามลำดับ ยิ่งพ่อแม่รู้ข้อมูลมากเท่าไรยิ่งได้เปรียบสำหรับการฟันธงว่าลูกเราจะเหมาะกับหลักสูตรแบบไหน การวางแผนตั้งแต่แรกสามารถการันตีโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกได้อย่างแน่นอน!

มร. มาร์ค แมคเวย์ (Mr. Mark McVeigh) ครูใหญ่โรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล (Denla British School - DBS) ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทย ถือเป็นบุคคลที่เข้าใจหลักสูตรการศึกษานานาชาติระบบอังกฤษได้ดีที่สุด มร.แม็คเวย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและมีประสบการณ์การสอนอย่างครอบคลุมและรอบด้านมานานเกือบ 30 ปี ประสบการณ์ทำให้คุณแมคเวย์เชื่อว่า ก่อนที่พ่อแม่จะเลือกโรงเรียนให้กับลูก สิ่งสำคัญคือพ่อแม่จะต้องศึกษาทั้งระบบการศึกษา แนวคิดและหลักการ และคุณภาพครูของโรงเรียนนั้นๆ

หลักสูตรนานาชาติอังกฤษ (UK Curriculum)

ลักษณะการเรียนในหลักสูตรนานาชาติอังกฤษ ที่มุ่งเน้นการอิงทักษะของนักเรียนเป็นสำคัญ ทำให้นักเรียนได้คิดและตั้งถามในระดับที่ลึกและเข้มข้นกว่า ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่การตั้งคำถามเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเองและในบริบทของโลก ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงเตรียมพร้อมให้นักเรียนสำหรับการศึกษาในอนาคตที่มีมากกว่าผลการสอบตามรายวิชา

ระบบการเรียนการสอนของอังกฤษเป็นระบบการศึกษาที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานที่สุด ลักษณะเด่นที่สุดของหลักสูตรการศึกษาระบบอังกฤษคือ นักเรียนจะต้องมีความเป็นปัจเจกบุคคล หลักสูตรออกแบบมาเพื่อดึงศักยภาพของเด็กได้อย่างเข้มข้น ตรงจุด และมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเรียนทั้งหมดจะไปเฉือนกันที่สุดคือตอนเด็กอายุประมาณ 12-14 ปี อยู่ในชั้นมัธยมต้น หรือชั้น Year 9 - 11 เป็นช่วงเวลาที่มีเด็กกำลังเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เด็กจะเริ่มมีความสับสนในความเป็นตัวเอง พวกเขาอาจจะดื้อรั้นกับพ่อแม่แบบไม่มีเหตุผล ซึ่งคุณครูใหญ่โรงเรียน DBS บอกว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพัฒนาการที่ปกติ นั่นคือเขากำลังเข้ากระบวนการค้นหาตัวเองแล้ว ดังนั้นระบบอังกฤษจึงเกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อม ให้เด็กๆสามารถค้นหาความชอบความสนใจของตนเองและพัฒนาลักษณะนิสัยของตนเอง

การตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพ

ระบบอังกฤษจะให้เด็กเลือกเรียนวิชาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ตอบสนองต่ออาชีพที่หลากหลาย โดยปกติแล้วนักเรียนจะได้เรียน 9-11 วิชาไปจนถึงอายุ 16 ปี ในขณะที่หลักสูตรระบบอื่นนั้นจะให้เรียนวิชาจำนวนน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่นได้เรียนเพียง 5 วิชาเท่านั้น หลักสูตรระบบอังกฤษจึงเป็นการมอบทางเลือกในการเรียนแก่นักเรียนให้มากเท่าที่จะมากได้

เมื่อเด็กเรียนไป 9 วิชาแล้วมาพบว่า ตัวเองชอบ 4 วิชา ไม่ชอบ 5 วิชา ระบบอังกฤษจะบอกว่า ให้เรียนให้ดีครบ 9 วิชาไปก่อน ผลก็คือเด็กจะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองไม่ชอบแต่ทำได้คือวิชาอะไร และสิ่งที่ชอบด้วยและทำได้ด้วยคือวิชาอะไร นอกจากนี้นักเรียนยังจะมีเวลามากขึ้นในการตระหนักว่าความจริงแล้วตนเองนั้นชอบวิชานี้ แม้ว่าตอนแรกจะคิดว่าตัวเองไม่ชอบก็ตาม

เมื่อเรียนไปถึงชั้น A Level ก็คือ Year 13 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชาต่างๆที่เด็กจะเรียนนั้นจะน้อยลงไปเลย จะเหลือเพียง 3-4 วิชาเท่านั้น ช่วงนี้เด็กจะรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไรมากที่สุดและตัวเองเก่งในด้านใดมากที่สุดด้วย ดังนั้นการให้เด็กได้โฟกัสสิ่งที่ใช่ที่สุดไปเลยจึงเป็นวิธีที่เหมาะสม คุณแมคเวย์กล่าวว่าสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้นั้น คือ พื้นฐานสำหรับชีวิตนักเรียนในอนาคตในช่วงที่เรียน GCSE ขณะที่เรียน A Level ก็สามารถบอกทิศทางที่นักเรียนจะไปต่อได้ โดยอิงจากความสนใจและความสามารถของนักเรียน ระบบอังกฤษจึงใช้เวลาเรียนมหาวิทยาลัยกันเพียง 3 ปีก็เพียงพอ เพราะได้เรียนอย่างเข้มข้นเจาะลึกมาตั้งแต่ตอนเรียน A Level แล้ว

เด็กจะได้เรียนแบบ Self-Study ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดชีวิต

คุณครูใหญ่โรงเรียน DBS เล่าต่อว่า อีกคอนเซ็ปต์ของหลักสูตรอังกฤษก็คือ จะมุ่งเน้นการเรียนการสอนไปพร้อมกับการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนแบบค้นหาด้วยตัวเอง เมื่อขึ้นชั้น A Level การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างสมดุล การสอนจะน้อยลงและการเรียนด้วยตัวเองจะเพิ่มมากขึ้น นักเรียนจะได้โฟกัสในวิชาที่ตนสนใจมากที่สุดและยิ่งทำให้เด็กต้องใช้ความสนใจของตัวเองจริงๆมากขึ้นในการค้นคว้าข้อมูล ทำรายงาน ทำโปรเจ็คต่างๆ ข้อดีที่สุดคือ เด็กที่ผ่านการเรียนลักษณะนี้ จะปรับตัวได้ทันทีและคล่องแคล่วมากเมื่อก้าวสู่การเรียนระดับมหาวิทยาลัย เพราะการเรียนด้วยตัวเองเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนในทุกๆมหาวิทยาลัย เมื่อนักเรียนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ประกอบอาชีพการงานและเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องเปลี่ยนอาชีพ พวกเขาก็สามารถใช้การเรียนรู้ด้วยตนเองที่ฝึกฝนมา และเปลี่ยนอาชีพของตนเองได้อย่างง่ายดาย ทักษะนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ เด็กที่เรียนในระบบอังกฤษ เมื่อฝึกฝนตัวเองกับการเรียนรู้แบบ Self-Study มา เด็กก็จะมีทักษะเรื่องนี้แน่น ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็จะทำด้วยความรัก ส่งผลให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงด้วยดี เหมือนกับที่คุณแมคเวย์ได้สรุปไว้ว่า "การเรียนรู้ที่ยั่งยืนที่สุดคือการเรียนรู้อย่างอิสระด้วยตนเอง"

ในความเป็นเลิศของหลักสูตรอังกฤษ หลักสูตรที่เจ๋งที่สุดคือ หลักสูตรของโรงเรียนเอกชนอังกฤษ

คุณครูใหญ่โรงเรียน DBS อธิบายว่า ระบบอังกฤษนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ หลักสูตรโรงเรียนเอกชนอังกฤษ (independent/private schools) และหลักสูตรโรงเรียนรัฐบาลอังกฤษ (state schools) ซึ่งหลักสูตรของโรงเรียนเอกชนอังกฤษจะเข้มข้นมากและแข็งแกร่งมากที่สุด จึงได้รับการยอมรับว่าหลักสูตรที่ดีที่สุดในระบบอังกฤษ

DBS เป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีการเรียนการสอนที่ได้รับการยกระดับด้วยหลักสูตรโรงเรียนเอกชนอังกฤษ สอนโดยครูผู้มีประสบการณ์และเป็นเจ้าของภาษา 100% โดยระบบเอกชนอังกฤษนี้มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนระบบใด คือ มุ่งเน้นการเรียนการสอนแบบ Personalised Learning เป็นการสอนที่เน้นการเคี่ยวกรำและเจาะรายละเอียดในนักเรียนแต่ละคน ตามทักษะและความชอบ ส่วนวิธีการสอนจะมีตั้งแต่สอนเจาะจงเป็นรายบุคคลไปจนถึงสอนกลุ่มย่อยขนาดเล็ก โดยมีครูและผู้ช่วยครูเป็นผู้ดูแลการเรียนการสอน ที่สำคัญไม่ได้มีความเป็นเลิศเฉพาะด้านวิชาการเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความสามารถรอบด้านให้เด็กได้ฝึกทดลองเพื่อค้นหา Talent ในตัวเองให้พบ และอีกหนึ่งจุดเด่นคือ การเพิ่มการเรียนการสอนอีก 1.5 ชั่วโมงทุกวัน หรือที่เรียกว่าระบบ Extended Day ซึ่งหมายถึงเด็กที่ DBS จะเรียนมากกว่าเด็กโรงเรียนนานาชาติโรงเรียนอื่นถึงเกือบ 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ชั่วโมงเรียนที่ยาวนานขึ้นมีความสำคัญเพราะช่วงส่งเสริมให้เด็กๆได้เลือกทำกิจกรรมต่างๆกว่า 40 รายวิชา ทั้งวิชาหุ่นยนต์ ดนตรี กีฬา เต้น การทำอาหาร และกิจกรรมส่งเสริมความเป็นผู้นำ นักเรียนจะได้โฟกัสในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้าชมรม ต่างๆ และช่วงเวลาในการทำการบ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันต่อไป ทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้ดูแลอย่างใกล้ชิดของคุณครูผู้เชี่ยวชาญ และถือเป็นการพัฒนาครบทุกด้านเพื่อความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นตามเจตนารมย์ของโรงเรียนคือ "Nurturing Global Leaders"

"พ่อแม่ควรจะมั่นใจในระบบการเรียนการสอนของอังกฤษว่าจะสามารถสร้างโอกาสที่ดีให้แก่ลูกๆ เพื่อที่เด็กๆจะได้ดึงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่และมีความพร้อมในการเข้าสู่มหาวิทยาลัยและชีวิตในอนาคตต่อไป" มร. มาร์ค กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO