สำหรับสภาวะเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทั่วทุกภูมิภาคหรือทั่วทุกมุมโลกได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่เข้ามากระทบต่อราคาทองคำและกระทบต่อนโยบายการเงินของเฟดด้วยเช่นกัน ดังนั้นในเชิงการวิเคราะห์จึงมีหลักคิดตามสภาวะที่วิเคราะห์โดยเงื่อนไขของสงครามการค้า ที่น่าจะยังมีต่อเนื่องไปตลอดจนสิ้นปีหรือปีหน้า โดย ณ ขณะนี้ (25 ก.ย.) ราคาอยู่แถวระดับ 1,530 เหรียญ และ MTS Gold วิเคราะห์ว่าราคาน่าจะสามารถ Breakout จุดสูงสุดเดิมในเดือนที่แล้ว 1,548 เหรียญได้โดยมีเงื่อนไขว่า การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ-จีน จะต้องไม่สามารถตกลงกันได้แบบ 100% รวมไปทั้งเงื่อนไขของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง, อีซีบีมีการอัดฉีดเม็ดเงิน 2 หมื่นล้านยูโร และ อังกฤษยังเผชิญกับ Brexit ช่วงปลายเดือนต.ค. รวมถึงความไม่แน่นอนของการลงทุนในตลาดหุ้นก็จะน่าจะยังมีอยู่
จากปัจจัยข้างต้นจึงวิเคราะห์ได้ว่า ทิศทางทองคำจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น ที่มีโอกาสทดสอบ 1,600 เหรียญในช่วงสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจจะพบการแกว่งตัวของราคาทองคำตลอดเวลา ซึ่งเป็นทั้งจังหวะและโอกาสในการเข้าซื้อหรือขาย ในส่วนของราคาทองคำไทยจะมีแนวรับสำคัญ 21,600 บาท/บาททองคำ และมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 23,000 บาท/บาททองคำได้ในช่วงสิ้นปี โดยวิเคราะห์ว่าค่าเงินบาทเองน่าจะไม่แข็งค่าหลุดระดับ 30 บาท/ดอลลาร์ลงมา เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีไปกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเทียบเคียงค่าเงินดอลลาร์กับค่าเงินบาท ซึ่งเงินบาทจะมีการแข็งค่าลงมาอย่างรวดเร็วมากกว่าสภาวะเศรษฐกิจจริงๆของประเทศ