หลังได้รับมติเห็นชอบเกี่ยวกับการรวมกิจการระหว่างธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นทีเอ็มบีเมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตต่างเดินหน้าดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ โดยธนาคารธนชาตได้เข้าทำสัญญาขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต ให้กับพรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ (โดยอ้อม) ของอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) ตอกย้ำจุดยืนของธนาคารใหม่ในการให้บริการด้านกองทุนรวมแบบ Open Architecture ด้านทีเอ็มบีเตรียมบันทึกรายการขายดังกล่าวภายในสิ้นปี 2562 เมื่อเข้าถือหุ้นในธนาคารธนชาต
ในการดำเนินการดังกล่าวนั้น ทางธนาคารธนชาต และธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบลจ.ธนชาต ในสัดส่วน 75% และ 25% ตามลำดับได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัท พรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น โฮลดิ้งส์ (Prudential) ซึ่งถือหุ้นโดยอ้อม 100% ในอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) (Eastspring) โดยมูลค่าธุรกรรมรวมคาดว่าไม่ต่ำกว่า 8.4 พันล้านบาท
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี กล่าวว่า "การขายหุ้น TFUND ของธนาคารธนชาตนั้นจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ทีเอ็มบีเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในธนาคารธนชาต ซึ่งถือว่าเป็นไปตามแผนการรวมกิจการ โดยการขายในส่วนแรก ธนาคารธนชาตจะขายหุ้นในสัดส่วน 25.1% (จากที่ถืออยู่ทั้งหมด 75%) ขณะที่ธนาคารออมสินจะขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ 25% ให้กับพรูเด็นเชียล คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวมในครั้งแรกนี้เท่ากับ 4.2 พันล้านบาท ซึ่งภายหลังการซื้อขายเสร็จสิ้นพรูเด็นเชียลจะถือหุ้นในบลจ.ธนชาตในสัดส่วน 50.1% และธนาคารธนชาตจะถือหุ้น 49.9%"
"สำหรับทีเอ็มบีนั้น ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้นใน บลจ.ทหารไทย (TMBAM Eastspring) 35% ซึ่งหลังจากเข้าซื้อหุ้นธนาคารธนชาตทีเอ็มบีก็จะถือหุ้นบลจ.ธนชาต 49.9% โดยอ้อม โดยทั้งทีเอ็มบีและอีสท์สปริง อินเวสท์เมนทส์ (สิงคโปร์) ได้มีการวางแผนที่จะรวมกิจการของ 2 บลจ. ระหว่างบลจ.ทหารไทย (TMBAM Eastspring) และบลจ. ธนชาตเข้าด้วยกันปี 2564 ซึ่งเมื่อทั้ง 2 บลจ. รวมกันแล้ว จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นอันดับที่ 4 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ประมาณ 650 พันล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2562) และภายใน 5 ปี ทีเอ็มบีจะดำเนินการขายหุ้นที่ถืออยู่ใน บลจ.ใหม่ทั้งหมด ให้กับพรูเด็นเชียล เน้นย้ำจุดยืนและกลยุทธ์การให้บริการด้านกองทุนรวมแบบ Open Architecture"
"นอกจากนั้นแล้ว การขายหุ้น TFUND ออกไปนั้นจะช่วยสะท้อนค่าพรีเมียม (Premium) ที่แท้จริงที่ทีเอ็มบีต้องจ่ายในการเข้าซื้อหุ้นธนาคารธนชาต กล่าวคือ ในการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของธนาคารธนชาต ทีเอ็มบีต้องระดมทุน โดยใช้เงินทุนราว 130,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากมูลค่าทางบัญชีของธนาคารธนชาตภายหลังการปรับโครงสร้าง (ซึ่งมีบริษัทลูกคือ TBROKE และ TFUND) 121,000 ล้านบาท บวกกับค่าพรีเมียม (ซึ่งรวมพรีเมียมจากบริษัทลูกทั้ง 2 แห่ง) อีกประมาณ 9 พันล้านบาท ดังนั้นการขายหุ้น TFUND 75% ออกไปด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6.3 พันล้านบาท ก็จะเข้ามาชดเชยค่าพรีเมียมที่เคยจ่ายไป ทำให้สุทธิแล้ว ค่าพรีเมียม (Premium) แท้จริงที่ทีเอ็มบีต้องจ่ายจะมีมูลค่าต่ำกว่า 9 พันล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งในจุดนี้ ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ของของธนาคารที่ต้องการใช้เงินทุนในการเข้าซื้อหุ้นธนาคารธนชาตในจำนวนที่เหมาะสม"
ทั้งนี้ สำหรับการขายในส่วนแรก 25.1% จำนวน 2.1 พันล้านบาท ทีเอ็มบีจะมีการบันทึกรายการขายดังกล่าวจากธนาคารธนชาตซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในงบการเงินรวมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2562
นายปิติ กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า "การรวม 2 บลจ. ครั้งนี้ คาดว่าจะใช้เวลาแล้วเสร็จภายในปี 2564 ในระหว่างนี้ลูกค้าของทั้ง 2 บลจ. ยังสามารถถือครองผลิตภัณฑ์กองทุนรวม และทำธุรกรรมได้ตามปกติ โดยการรวมกันในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการให้บริการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และในส่วนของการรวมกิจการระหว่างธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 เช่นกัน ซึ่งลูกค้าของธนาคารทีเอ็มบีและธนาคารธนชาตก็ยังสามารถใช้บริการด้านการลงทุน บริการต่างๆ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของทั้งสองธนาคารในทุกๆ ช่องทางได้ตามปกติ"