นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่มีสื่อมวลชนบางฉบับลงข่าวเรื่องการบินไทยป่วยหนัก เงินสดขาดมือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง นั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้บริหารจัดการและควบคุมดูแลการลดภาระหนี้สินอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปี 2561 แม้ว่าบริษัทฯ ยังคงต้องดำเนินการตามแผนฟื้นฟูท่ามกลางสภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรมการบิน โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ สามารถลดภาระหนี้สินได้เป็นเงินจำนวนประมาณ 48,000 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดทำรายงานสถานะหนี้เงินกู้ และรายงานการเคลื่อนไหวของยอดหนี้เงินกู้เป็นประจำทุกเดือน รวมถึงผลประกอบการประจำปี ให้แก่หน่วยงานที่กำกับ ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงคลัง และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ หรือ สบน. เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่กำกับได้รับทราบ การรายงานอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ได้มีข้อสังเกตแต่อย่างใด
สำหรับแผนการก่อหนี้ใหม่ในปีงบประมาณ 2563 ในวงเงิน 32,000 ล้านบาท เพื่อเป็นกรอบให้บริษัทฯ สามารถดำเนินการจัดหาเงินกู้มารองรับการลงทุนของบริษัทฯ และเพื่อเป็นการ Refinance
หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการตามปกติ การปรับปรุงอุปกรณ์ และการซ่อมบำรุงเครื่องบิน ซึ่งวงเงินดังกล่าวไม่รวมการจัดหาเครื่องบิน ซึ่งอยู่ในระหว่างรอการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ วงเงิน 32,000 ล้านบาท เป็นวงเงินที่ใกล้เคียงกับวงเงินตามแผนการก่อหนี้ของปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ จะยังคงประสบปัญหาการขาดทุน และอยู่ระหว่างการเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่บริษัทฯ ก็ตระหนักดีว่าการรักษาสภาพคล่องทางการเงินยังเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และผู้บริหารได้ให้ความสำคัญในเรื่องการเงิน ดังนั้นการจัดทำแผนการก่อหนี้ และแผนการจัดหาเงินกู้ จึงเป็นความรอบคอบในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีการสำรองวงเงินให้เพียงพอต่อการรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจ รวมถึงกรณีมีเหตุจำเป็น หากได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีเงินสดในมือรวมกับ Revolving Credit Line คิดเป็นร้อยละ 13.4 ของประมาณการรายได้รวมทั้งปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัทฯ ยังคงมีเงินสดสำรองในมือคงเหลืออยู่ในระดับที่เพียงพอและสามารถดำเนินกิจการตามปกติได้ และขอให้ลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทฯ รวมทั้งสาธารณชนมั่นใจว่าบริษัทฯ ไม่ได้ขาดสภาพคล่องอย่างที่ปรากฏเป็นข่าว