นายกฤษดา กล่าวต่อว่า เป็นไปได้ที่เชื้อราตัวนี้มีการแพร่กระจายเข้ามาระบาดในพื้นที่ปลูกยางแถบชายแดนรอยต่อกับประเทศมาเลเซีย เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันคือร้อนชื้นและฝนตกชุก โดยพบลักษณะอาการปรากฏบนใบยางแก่ เมื่อเริ่มแสดงอาการปรากฏรอยช้ำๆ เป็นกลุ่มเห็นชัดเจนด้านหลังใบ หลังจากนั้นจะแสดงอาการเป็นวงค่อนข้างกลมสีเหลือง (chlorosis) ต่อมาเนื้อเยื่อรอยสีเหลืองจะตายแห้ง (necrosis) เป็นแผลกลมสีสนิมซีด โดยพบอาการจุดแผลต่อใบยางมากกว่า 1 แผล จากนั้นใบจะเหลืองและร่วงในที่สุด อาการโรครุนแรงและใบร่วงมากหลังมีฝนตกหนักติดต่อกันอย่างน้อย 2 วัน ต้นยางอายุมากขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าต้นยางอายุน้อยขนาดเล็ก อาการใบร่วงจากเชื้อรานี้มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตน้ำยาง เนื่องจากมีใบร่วงมากกว่าร้อยละ 90 จึงเป็นเหตุให้ผลผลิตลดลงร้อยละ 30-50 และพบในทุกพันธุ์ยางที่ปลูกในพื้นที่นั้น ได้แก่พันธุ์ RRIM 600 พันธุ์ RRIT 251 และ พันธุ์ PB 311
"เชื้อรานี้มีพืชอาศัยหลายชนิด แพร่ระบาดโดยลมและฝน จึงค่อนข้างยากต่อการป้องกันควบคุม อย่างไรก็ตามแนวทางการป้องกันกำจัดการแพร่ระบาดของโรคนี้ ขณะนี้ กยท. มีโครงการสำรวจและติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคนี้ในเขตภาคใต้ตอนล่างอย่างเร่งด่วน พร้อมกับดำเนินการเก็บตัวอย่างใบเพื่อวินิจฉัยเชื้อสาเหตุที่แน่ชัด ทดสอบประสิทธิภาพสารเคมีเช่น hexaconazole, benomyl และ thiophanate methyl ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อรา หากมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการกำจัด รวมถึงการร่วมมือทางวิชาการกับประเทศสมาชิก IRRDB ที่เคยมีการระบาดของโรคนี้แล้วสำหรับการนำวิธีการป้องกันกำจัดที่ได้ผลแล้วมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย ทั้งนี้ กยท. ขอย้ำว่าจะดำเนินการอย่างเต็มที่และให้ความสำคัญกับป้องกัน กำจัดโรคนี้ รวมถึงควบคุมไม่ให้แพร่กระจายมากขึ้น" นายกฤษดา กล่าวทิ้งท้าย