คุณปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประกาศความร่วมมือของกลุ่มบริษัทบีทีเอสและแสนสิริเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาถือเป็นการสร้างปรากฎการณ์ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้นำระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนได้จับมือพัฒนาคอนโดมิเนียมใกล้ รถไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ บมจ. ยูซิตี้ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มบริษัทบีทีเอส ที่ดูแลธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ได้รับโอนโครงการความร่วมมือระหว่างกลุ่มบริษัทบีทีเอสและแสนสิริ เข้ามาในพอร์ตเมื่อปี 2561 ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตามดีมานด์และสภาวะตลาดร่วมกัน 14 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 50,000 ล้านบาทและมียอดขายรวม ณ ปัจจุบันที่ 35,000 ล้านบาทหรือกว่า 70%ของยอดขายทั้งหมด อันรวมถึง 4 โครงการภายใต้แบรนด์ 'เดอะไลน์ (THE LINE)' , 'เดอะเบส (THE BASE)' และ 'คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค (KHUN by YOO inspired by Starck)' ที่เตรียมส่งมอบให้กับลูกค้าในไตรมาส 4 ปีนี้ด้วย ซึ่งถือว่ายอดขายและการเปิดตัวโครงการเป็นไปได้ตามเป้าหมายที่วางไว้แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะผันผวน ทั้งนี้ด้วยยอดพรีเซลส์แบ็กล็อกสำหรับโครงการร่วมทุนที่มีร่วมกัน 17,500 ล้านบาทที่เตรียมส่งมอบในปี 2562 ถึง 2565 เราเชื่อว่าจะสามารถนำมาสู่กำไรของโครงการร่วมทุนระหว่าง ยู ซิตี้ และแสนสิริได้กว่า 1,000 ล้านบาทได้ในปีนี้
"หนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือแบรนด์ที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทบีทีเอสและแสนสิริที่เป็นปัจจัยดึงดูดให้ผู้ซื้อทั้งกลุ่มเรียลดีมานด์และนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่น ตลอดจนบริการหลังการขายที่ครอบคลุมและความเข้าใจในไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคอันนำไปสู่การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทบีทีเอสยังได้ผนึกกำลังแสนสิริในการเจาะกลุ่มตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ด้วยการพัฒนาคอนโดมิเนียมบนสุขุมวิท 38 ด้วยจุดเด่นทำเลติดสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อรวมถึงการออกแบบอาคารและตกแต่งภายในที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดีไซน์เนอร์ระดับโลก ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมอยู่ได้ในพ.ศ.2564 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์บนถนนสุขุมวิท"
คุณวรางคณา อัครสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการเงินและพัฒนาธุรกิจใหม่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า "บริษัทร่วมทุน 'บีทีเอส-แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป' เตรียมส่งมอบคอนโดพร้อมอยู่บนทำเลศักยภาพติดแนวรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพฯ 4 โครงการ ได้แก่ 'เดอะ เบส เพชรเกษม (THE BASE Phetkasem)' คอนโดใจกลางย่านชุมชนของเพชรเกษม-บางแคที่ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เอง, 'เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 (THE LINE Sukhumvit 101)' คอนโดไฮไรส์บนทำเลศักยภาพใกล้รถไฟฟ้าBTS ปุณณวิถีเพียง 250 เมตร, 'เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ (THE LINE Phahol – Pradipat)' ในทำเลเจาะกลุ่มผู้ต้องการอยู่อาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย และโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนสุดท้ายปลายปีนี้คือ 'คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค (KHUN by YOO inspired by Starck)' บนสุดยอดทำเลใจกลางทองหล่อโดยยอดขายพร้อมโอนปีนี้ของทั้ง 4 โครงการรวมมูลค่าสูงกว่า 11,500 ล้านบาท"
เดอะ เบส เพชรเกษม พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ "ทุกโหมดของชีวิต" มีจุดเด่นที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ทั้งรถ เรือ ราง เชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญ รวมถึงยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีเพชรเกษม และใกล้กับท่าเรือเพชรเกษมอีกด้วย จึงทำให้เหมาะทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า โดยโครงการได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก หลังจากเปิดตัวไปแล้ว โครงการเดอะ เบส เพชรเกษม มียอดขายทะลุเป้า 80% หรือราว 1,600 ล้านบาท ซึ่งกว่า 60% ของยอดขายเป็นผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง สะท้อนเรียลดีมานด์ของผู้ซื้อ นอกจากนี้พื้นที่บริเวณเพชรเกษมยังมีราคาที่ดินที่เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 ราคาที่ดินซื้อขายกันอยู่ที่ 300,000 -350,000 บาท/ตารางวา ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยเช่า คาดว่าจะได้ที่ประมาณ 4.5% ต่อปี ทั้งนี้ หลังจากการจัดกิจกรรมตรวจรับมอบห้องเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมามีลูกค้าเข้าตรวจรับแล้วกว่า 150 ยูนิต
เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 กับการออกแบบภายใต้แนวคิด "อิสระในทุกๆด้าน" ด้วยศักยภาพทางทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS ปุณณวิถีและทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทำให้นับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงตอนนี้กวาดยอดขายไปสูงกว่า 65% หรือกว่า 3,000 ล้านบาท โดยอุปทานคอนโดมิเนียมปี 2019 บนบริเวณพื้นที่สุขุมวิท 101 อยู่ที่ 8,517 ยูนิต และพบอัตราการตอบรับของอุปสงค์ในปัจจุบันอยู่ที่ 7,531 ยูนิตหรือคิดเป็น 88% ของอุปทาน นอกจากนี้ทำเลสุขุมวิท 101 ราคาที่ดินเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 ราคาที่ดินซื้อขายกันอยู่ที่ 500,000 –550,000 บาท/ตารางวา ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาอยู่ 10% กลุ่มลูกค้าในโซนนี้ถือได้ว่าเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ด้วยวัตถุประสงค์ของการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากมีการขยายตัวของแหล่งงานเพิ่มมากขึ้นในบริเวณดังกล่าว ทั้งอาคารสำนักงานหลายแห่งที่สร้างเสร็จและเปิดตัวไปในช่วง 1-3 ปี รวมถึงการเปิดตัวของแหล่งไลฟ์สไตล์ใหม่ในบริเวณนั้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้ตลาดนักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อลงทุนปล่อยเช่าคึกคักและน่าสนใจมากขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียม ภายในโซนยังให้ผลตอบแทนที่สูงถึง 5% ทั้งนี้ปัจจุบันมีจำนวนลูกค้าตรวจรับมอบห้องถึงกว่า 250 ยูนิตภายในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์หลังการให้ตรวจรับมอบโครงการได้
เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์ พัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด "เพิ่มมุมมองใหม่ของการเริ่มต้นชีวิต" กวาดยอดขายหลังจากเปิดตัวไปได้ถึงกว่า 70% หรือกว่า 4,100 ล้านบาท โดยในปี 2019 อุปทานคอนโดมิเนียมบนพื้นที่บริเวณพหลโยธิน อยู่ที่ประมาณ 4,400 ยูนิต ส่วนอุปสงค์อยู่ที่ประมาณ 3,400 ยูนิต หรือมีอัตราการตอบรับที่ประมาณ 78% นอกจากนี้ราคาที่ดินในทำเลสะพานควาย-พหลโยธิน ยังคงเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 ราคาที่ดินซื้อขายกันอยู่ที่ 800,000-1,000,000 บาท/ตารางวา ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ได้จากการปล่อยเช่า คาดว่าจะได้ที่ประมาณ 4.5% ต่อปี โดยโครงการจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่และให้ลูกค้าตรวจรับมอบห้องได้ในต้นเดือนพฤจิกายนนี้
'คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค (KHUN by YOO inspired by Starck)' โครงการ Branded Condominium มูลค่า 4,000 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลใจกลางทองหล่อ ภายใต้แนวความคิด Industrial Heritage ผสมผสานไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กับการออกแบบโดยใช้วัสดุที่หรูหราและแปลกใหม่ มุ่งเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในงานดีไซน์ที่ผสมผสานงานศิลปะ ที่ปัจจุบันมียอดขายกว่า 70% หรือ 2,800 ล้านบาทและจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน "ด้วยศักยภาพทางทำเลของทั้ง 4 โครงการที่บีทีเอสและแสนสิริได้พัฒนาร่วมกัน โดยคำนึงถึงดีมานด์และสภาพของตลาด ซึ่งในปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้เข้าสู่ยุคเรียลดีมานด์ที่ลูกค้าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเป็นหลัก บีทีเอสและแสนสิริจึงพิถีพิถันในการพัฒนาโครงการทุกโครงการเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ได้มากที่สุด และตรงกับอุปสงค์ของตลาดคอนโดมิเนียมในขณะนั้น นอกจากทำเลศักยภาพตามแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน เรายังให้ความสำคัญกับพื้นที่ชุมชนที่เป็นทำเลของผู้อยู่อาศัยจริง เพื่อให้การพัฒนาโครงการสอดคล้องกับความต้องการ โดยยังคงมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เพราะยังคงเป็นตลาดที่ยังคงขยายตัวอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามั่นใจว่าผลกำไรในปีนี้ของโครงการจากความร่วมมือกันระหว่างบีทีเอสและแสนสิริจะเป็นไปตามเป้าที่ 1,000 ล้านบาท" คุณวรางคณากล่าวสรุป