ไมค์ แบทเชเลอร์ ซีอีโอภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า "แม้จะมีความไม่แน่นอนทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก แต่โรงแรมในเอเชียปิฟิกยังคงเป็นธุรกิจที่เสนอผลตอบแทนการลงทุนที่น่าดึงดูดใจ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวของของภูมิภาคนี้ ยังคงเติบโตต่อเนื่องในขณะที่อัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากพันธบัตรปรับตัวลดลง"
"บริษัทที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนักลงทุนภายในประเทศ มีความต้องการสูงในการลงทุนซื้อโรงแรม ดังนั้น เชื่อปี 2562 นี้จะเป็น 1 ใน 3 ปีที่การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าสูงสุดในช่วง 10 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเพียงปี 2560 และ 2558 เท่านั้นที่การลงทุนซื้อขายมีมูลค่ารวมเกิน 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์" แบทเชเลอร์กล่าว
การที่มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมสามไตรมาสแรกของปีนี้ขึ้นไปถึง 7.8 พันล้านดอลลาร์แล้ว โดยเฉพาะญี่ปุ่น มีการซื้อขายโรงแรมขึ้นอย่างคึกคัก จากอานิสงค์ของการเป็นเจ้าภาพการจัดงานรักบี้เวิร์ลคัพ 2019 และการเตรียมเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิค 2020 ที่โตเกียว โดยในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมา มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมในญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่ารวมเกือบ 3 พนล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะขยับขึ้นไปเป็น 4 พันล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี
การลงทุนซื้อขายโรงแรมโดยรวมสำหรับเอเชียแปซิฟิกยังคงมีแนวโน้มที่ดี ตลาดใหญ่เช่นจีนมีแนวโน้มที่จะมีนักลงทุนหันมาสนใจซื้อโรงแรมมากขึ้น เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์หลักประเภทอื่น ได้แก่ อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า มีความต้องการเช่าพื้นที่ชะลอตัวลง ในขณะที่ภาคธุรกิจโรงแรมยังคงมีผลประกอบการในระดับคงที่
สิงคโปร์มีการซื้อขายรายการใหญ่เกิดขึ้น 2-3 รายการในปีนี้ โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เจแอลแอลได้เป็นตัวแทนบริษัท OUE ในการขายโรงแรม Oakwood Premier OUE ให้กับบริษัทร่วมทุนจากฮ่องกงด้วยมูลค่า 209 ล้านดอลลาร์ และเมื่อเร็วๆ นี้ เจแอลแอลประสบความสำเร็จในการเป็นตัวแทนเจรจาการซื้อขายโรงแรม Andaz Singapore มูลค่า 344 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการซื้อขายโรงแรมที่มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในสิงคโปร์
ทุนต่างชาติแสวงหาผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น
รายงานจากเจแอลแอลเปิดเผยว่า แม้นักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับการลงทุนซื้อโรงแรมในประเทศของตน โดยเฉพาะ ญี่ปุ่นและจีน แต่พบว่า มีนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากที่หลังไหลเข้ามาในภูมิภาคนี้ เพื่อแสวงหาโอกาสจากการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและผลตอบแทนการลงทุนสูง
ตัวอย่างเช่น เกาหลีใต้ พบว่ามีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนพุงสูงขึ้นในปีนี้ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนซื้อโรงแรมได้มากขึ้น เนื่องจากมีนักลงทุนประเภทสถาบันจำนวนมากขึ้นที่เตรียมขายสินทรัพย์ออกมาหลังครบระยะเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการถือครอง
นายนิฮาท เออร์แคน กรรมการผู้จัดการฝ่ายตัวแทนขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า "นับย้อนหลังตั้งแต่ปี 2558 ลงไป นักลงทุนที่ซื้อโรงแรมในเกาหลีใต้ล้วนเป็นนักลงทุนภายในประเทศ แต่ปัจจุบัน ราว 1 ใน 4 ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้น เป็นการซื้อโดยต่างชาติ และมีแนวโน้มว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น"
อีกตลาดหนึ่งนักลงทุนต่างชาติมีบทบาทสูง ได้แก่ มัลดิฟส์ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังนี้ มีต่างชาติเข้าซื้อโรงแรมรวมมูลค่า 260 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
"การที่ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง ทำให้มีแนวโน้มว่า ธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นตลาดการลงทุนดาวเด่น เชื่อว่า แนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปถึงปี 2563"