รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แสดงความชื่นชมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยรวมถึงสนับสนุนการดำเนินนโยบายThailand 4.0 และแสดงความยินดีกับการที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี 2563 (Doing Business 2020) ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา รวมทั้งชี้แจงว่าได้นำภาคเอกชนสาขาต่างๆ มาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ เล็งเห็นโอกาสและลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย รวมถึงความเป็นไปได้ในการย้ายฐานการผลิต (Relocation) มาประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ยืนยันถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และยกระดับประเทศไทยสู่ยุค 4.0เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม(Transformation) และมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยนักธุรกิจสหรัฐฯ ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับโครงการเขตพัฒนาพิเศษตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ซึ่งมีบริษัทชั้นนำ อาทิ Baxter International ผู้นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้เข้ามาลงทุนใน EEC แล้วและมองว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับภูมิภาคอาเซียนได้ นอกจากนี้นักธุรกิจสหรัฐฯ ยังได้แสดงความสนใจโอกาสทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะสาขาพลังงาน การเงิน และโครงสร้างพื้นฐานซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความโปร่งใส เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและพิธีการศุลกากร มุ่งเน้นการเสริมสร้างบรรยากาศการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยเห็นได้จากการที่ธนาคารโลกได้ปรับอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี 2563 ของประเทศไทยมาอยู่ที่อันดับที่ 21 ของโลกนอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในเชิงหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาทั้งในประเทศและอนุภูมิภาค และสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาคด้วย