ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2562 มีรายได้รวม 117.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 110.21 ล้านบาท จำนวน 7.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.46% และมีกำไรสุทธิ 12.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.70 ล้านบาท จำนวน 1.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.41%
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้น จากการให้บริการรถรับส่งพนักงานเป็นหลัก อีกทั้งบริษัทมีการเพิ่มจำนวนรถให้กับกลุ่มลูกค้าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นงวด 9 เดือนดีขึ้นอยู่ที่ 26.21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 25.95%
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.02 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราจ่ายปันผล 36.02% ของกำไรสุทธิของบริษัทหลังหักสำรองตามกฎหมาย จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดรวมทั้งสิ้น 12.35 ล้านบาท โดยจะทำการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 19 พ.ย. 62 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 4 ธ.ค. 62
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะยังคงรักษาอัตราการเจริญเติบโตและความสามารถในการทำกำไรได้ในทิศทางเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก คาดว่าจะเริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ช่วงต้นปี 2563
"ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้โรงงานบางแห่งลดกำลังการผลิต หรือบางโรงงานปิดกิจการ แต่เนื่องจากบริษัทมีลูกค้ากระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม และทุกรายมีสัญญาระยะยาว บริษัทจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตให้อยู่ในเกณฑ์ดีได้ อีกทั้งบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสมอยู่เสมอ รวมถึงขยายบริการไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการให้บริการรถ shuttle bus รับส่งมวลชน ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มาของรายได้ และเป็นโอกาสในการขยายฐานรายได้ของบริษัทให้เติบโตขึ้น อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาลงด้วย" นายปิยะ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบบริหารจัดการการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพในการให้บริการและรองรับการขยายตัวในเขตภาคตะวันออก มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10 % หรือ 465 ล้านบาท