นายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ของ บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC คาดจะเป็นหุ้นไอพีโอที่โดดเด่น ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อขาย หรือ BOS Model รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของ BOS อยู่ในระดับสูง แตกต่างจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปสิ้นเชิง
"จากความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ของผู้บริหารและทีมงาน รวมทั้งความตั้งใจในการสร้างโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเราเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ประกอบกับการกำหนดราคาไอพีโอของ BC ไว้ที่ 2.86 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ คิดเป็น P/BV (Pre-IPO) ที่ 1.66 เท่า และคิดเป็นส่วนลด 40% จาก P/BV เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ 2.75 เท่า"
ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งให้ราคาเป้าหมายในปี 2562 ของ BC อยู่ 3.20 – 3.95 บาทต่อหุ้น สะท้อนโอกาสในการลงทุน และมองเป็นอีกหุ้น Growth Stock ที่มีความสามารถในการบริหารงานและสร้างการเติบโตที่ดี จึงมั่นใจว่า BC พร้อมเป็นอย่างยิ่ง ในการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า BC
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ BC จะนำไปใช้ขยายธุรกิจ ลงทุนในโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการ BOS ซึ่งจะเน้นการลงทุนในโครงการโรงแรมระดับสามดาว และ Commercial mixed use นอกจากนี้ ใช้สำหรับจ่ายคืนหนี้สิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบสร้าง – ดำเนินงาน – ขาย (Build-Operate-Sell : BOS) อสังหาริมทรัพย์ประเภท โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ Commercial Mixed Use ได้แก่ ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานให้เช่า รวมทั้งธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า มั่นใจหุ้น BC ที่จะซื้อขายบนกระดานในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นี้เป็นวันแรก จะได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
"BC เป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาโครงการรูปแบบ BOS รายแรก ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเราเป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่นในการทำกำไร เมื่อเทียบกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น โดยจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อบริษัทฯ มีการขายโครงการที่บริษัทพัฒนาให้กับกลุ่มทุนที่มีศักยภาพในการซื้อสามารถให้ราคาแบบ win-win ทั้งสองฝ่าย ขณะเดียวกันเรายังมีรายได้สม่ำเสมอจากการบริหารโครงการนั้นๆต่อภายหลังการขายโครงการ สะท้อนความสำเร็จได้จากผลงานในช่วงที่ผ่านมามูลค่ากำไรจากการขายโครงการประมาณ 1,626 ล้านบาท"
ทั้งนี้ 6 ปีที่ผ่านมา BC จำหน่ายโครงการออกไปได้แล้ว จำนวน 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,525 ล้านบาท และ รวมมูลค่ากำไรจากการขายโครงการประมาณ 1,626 ล้านบาท ซึ่งกำไรของ BC จะสูงขึ้นเมื่อมีการขายโครงการออกไป จึงโฟกัสในธุรกิจ BOS มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น
ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Operate) 9 โครงการ ได้แก่ โครงการที่รอขายในอนาคต (BOS) จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่บริษัทฯ มีนโยบายเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการเอง (Non-BOS) 4 โครงการ นอกจากนี้ มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา (Build) จำนวน 8 โครงการ คาดจะทยอยแล้วเสร็จไปจนถึงปี 2564 เสริมศักยภาพการเติบโตให้ BC เป็นหุ้น Growth Stock ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และไม่มีคู่แข่งทางตรงในธุรกิจนี้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ BC แตกต่าง และเป็นที่น่าสนใจ คือความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทีมผู้บริหารในธุรกิจ BOS มีมากกว่า 10 ปี สามารถพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ ในทำเลทองบริเวณกรุงเทพชั้นใน ย่านสุขุมวิทตอนต้น และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยโครงการที่ BC พัฒนา ส่วนใหญ่มีขนาดกลางไปจนถึงขนาดเล็ก มูลค่าการลงทุนไม่สูง แต่บริหารจนได้ yield ในระดับที่สูง ทำให้เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ ซึ่งเป็นทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ และนำกระแสเงินสดจากการขายโครงการที่ได้รับมาต่อยอดในการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่
"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ จะเป็นการปลดล็อคในเรื่องของแหล่งเงินทุน เนื่องจากความต้องการโครงการรูปแบบ BOS ที่ BC เป็นผู้นำในตลาดนี้ มีกำลังซื้อรอยู่จำนวนมาก ขณะที่ ธุรกิจ BOS ไม่กระทบภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว และได้รับผลบวกจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยที่คึกคัก เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ประกอบกับ ความหลากหลายของโครงการที่พัฒนา ได้แก่ โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานให้เช่า ทำให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมได้ จึงมั่นใจ BC ในช่วงต่อจากนี้ เรามีแผนรองรับการขยายธุรกิจ BOS เพื่อสร้างการเติบโตที่ดี และยิ่งมีงานในมือจากการขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ มากเท่าไหร่ เปรียบเสมือนสินค้าในมือที่ BC มีไว้ขายมากเท่านั้น สะท้อนโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งของเรา" นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล กล่าว
สำหรับผลประกอบการของ BC ต้องพิจารณาเป็นภาพรวมธุรกิจทั้งปี หากพิจารณาเป็นรายไตรมาสอาจไม่สะท้อนการเติบโตที่แท้จริง เนื่องจากบริษัทฯ จะเติบโตสูงขึ้นเมื่อปีนั้นมีการขายโครงการออกไป โดยผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม - กันยายน) รายได้รวมอยู่ที่ 723 ล้านบาท เติบโต 240 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขายโครงการซัมเมอร์ ฮิลล์ และ ซัมเมอร์ ฮับ ออฟฟิศ ในช่วงไตรมาส 2/2562 ที่ผ่านมา และได้รับการแต่งตั้งให้บริหารสินทรัพย์ต่อ ทำให้ BC ยังได้ค่าบริหารจัดการ ซึ่งอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการซัมเมอร์ ฮิลล์ และ ซัมเมอร์ ฮับ ออฟฟิศ ยังสูงต่อเนื่องที่ระดับกว่า 92% อีกทั้ง รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเปิดตัวโรงแรม โนโวเทล เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ จำนวน 202 ห้อง ในเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ทำให้อัตราการเข้าพักในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 158.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 77.2% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 26.6%
ในปีนี้ BC มีผลงานที่น่าประทับใจ จากการขายโครงการได้ 2 โครงการ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เทียบกับปีที่ผ่านๆ มา เฉลี่ยขายโครงการได้ปีละ 1 โครงการ สนับสนุนเป้าหมายผลประกอบการปี 2562 จะสามารถเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ และเมื่อเทียบกับปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 556.2 ล้านบาท อีกทั้ง ตั้งเป้าจะขายโครงการอย่างน้อยปีละ 1 โครงการ เพื่อสร้างผลประกอบการที่มั่นคง ต่อเนื่องในระยะยาว