นาย ปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ (SFLEX) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2562 ดีกว่างวดเดียวกันของปีก่อนแบบก้าวกระโดด หลังจาก SFLEX ได้เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ผลิตสินค้าในกลุ่มบริโภคมากขึ้น โดยได้ลูกค้าใหม่ซึ่งเป็นรายใหญ่ คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และอยู่ระหว่างเจรจาผู้ผลิตข้าวระดับประเทศอีก 4-5 ราย
"แนวโน้มไตรมาส 4/2562 จะดีกว่าไตรมาส 4/2561 แบบก้าวกระโดด จะเห็นทิศทางการกลับมาเทิร์นอะราวด์แบบชัดเจน และสะท้อนว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดของ SFLEX มาแล้ว ประกอบกับการเจาะตลาดบรรจุภัณฑ์เกรดพรีเมี่ยมในกลุ่มอาหารมากขึ้นเริ่มสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2563" นายปรินทร์ธรณ์ กล่าว
ขณะเดียวกันในปีหน้าบริษัทฯมีแผนขยายฐานลูกค้ารายใหญ่เพิ่มมากขึ้น และมีมูลค่าคำสั่งซื้อในมือแล้วกว่า 200-300 ล้านบาท โดยคาดว่าปีหน้าการใช้กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้น "จึงประมาณการรายได้มากกว่า 15% ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ในระดับ 21-23% พร้อมสร้างนิวไฮใหม่ ในปีหน้า" นายปรินทร์ธรณ์กล่าว
โดยบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ประเมินราคาเป้าหมายปี 2563 ของ SFLEX โดยเฉลี่ยให้ราคาเป้าหมายที่ 6 บาท ถือว่ามี upside สูงจากราคาปัจจุบันสะท้อนความเชื่อมั่นในธุรกิจและโอกาสการเติบโต เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้า ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ของประเทศไทย มีจุดแข็ง คือ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจ ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพ และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนลูกค้า ความรวดเร็วในการส่งมอบงาน จึงสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในระดับสากล และสามารถครองใจลูกค้ามายาวนาน เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาวได้
โดยภายหลังการระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ช่วงที่ผ่านมาจะเพิ่มศักยภาพในการผลิต การแข่งขัน และโอกาสในการขยายตลาดตามกลยุทธ์ที่วางไว้ ปัจจุบัน ลูกค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของประเทศ เช่น บริษัท นีโอแฟคทอรี่ จำกัด, บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด, บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ไอ.พี. แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นต้น โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนยอดขายหลักมาจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภค คิดเป็นสัดส่วน 80-85% ของรายได้จากการขาย ขณะที่บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภคมียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 15-20% จึงมองว่า มีโอกาสขยายตลาดสินค้าบริโภคได้อีกมาก นอกเหนือจากตลาดบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนในประเทศ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศ CLMV