นายวศินกล่าวต่อไปว่า สำหรับแผนการเปิด Sub Class ใหม่ของกองทุน LTF ในปี 63 บริษัทจะต้องดำเนินการจัดทำระบบเพื่อแยกผู้ลงทุนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ลงทุนเดิม และกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ โดยต้องรอความชัดเจนของกฎหมายการเงินที่จะออกใหม่ในปี 63 ดังนั้น บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องระงับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนกองทุน LTF ชั่วคราว ก่อนที่จะเดินหน้าเปิดรับคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนกองทุน LTF ตามปกติต่อไป อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เคยสมัครบริการ K-Saving Plan และ Investment Plan โดยตัดเงินผ่านบัญชีออมทรัพย์หรือผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยอัตโนมัติ บริษัทจะดำเนินการระงับคำสั่งซื้ออัตโนมัติในทุกช่องทางทั้ง K PLUS, K-My Funds และ K-Cyber Invest ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. 63 เป็นต้นไป โดยลูกค้าไม่ต้องมาติดต่อยกเลิกด้วยตัวเอง
"เป็นที่ทราบกันแล้วว่าในปีหน้าจะมีกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) ขึ้นมาทดแทนกองทุน LTF ซึ่งบริษัทได้เตรียมความพร้อมที่จะจัดตั้งกองทุน SSF ให้สอดรับกับโครงสร้างใหม่ที่เปิดกว้างด้านนโยบายการลงทุนให้สามารถลงทุนได้ในสินทรัพย์ทุกประเภททั้งตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และกองทุนผสม เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย และสามารถจัดพอร์ตให้ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม ส่วนกองทุน LTF ภายใต้การบริหารจัดการของ บลจ.กสิกรไทย ยังคงได้รับการดูแลจากผู้จัดการกองทุนที่มากด้วยประสบการณ์ เชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นไทยศักยภาพดี ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เพื่อให้กองทุนสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ ผู้ลงทุนจึงวางใจได้ว่ากองทุน LTF ของกสิกรไทย จะยังคงได้รับการบริหารจัดการอย่างดีเช่นเดิม ดังนั้น ในปีนี้จึงอยากแนะนำให้ลงทุนในกองทุน LTF กันให้เต็มสิทธิ์ภายใต้เงื่อนไข 15% ของเงินได้พึงประเมิน สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดยบริษัทยังคงแนะนำ กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ชั้นนำที่มีปัจจัยพื้นฐานดี กระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีการจ่ายปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับ LTF อื่นๆ ของกสิกรไทย โดยกองทุน KDLTF มีการจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่อง 12 ปี มากถึง 19 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8.76 บาทต่อหน่วย (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ข้อมูล ณ 30 ก.ย. 62)" นายวศินกล่าว
นายวศินกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยปลายปี 62 คาดว่าระดับดัชนีหุ้นไทย (SET Index) จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ (sideways) อย่างไรก็ดี บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 63 โดยมีปัจจัยสนับสนุน (1) ตลาดรับรู้ปัจจัยในด้านลบไปค่อนข้างมากแล้ว ในขณะที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในระยะยาวยังมีความน่าสนใจมากกว่าสินทรัพย์อื่น รวมถึงสภาพคล่องในระบบที่ยังมีอยู่สูง (2) อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำทำให้ระดับ P/E ของตลาดสามารถอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตได้ และ (3) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ทั้งนี้ หากสถานการณ์สงครามการค้าคลี่คลายขึ้น มองว่าหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นแตะ 1,700 จุด ด้วย Forward P/E ที่ 16.5 เท่า แต่หากพัฒนาการสงครามการค้าเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง หุ้นไทยน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด ด้วย Forward P/E ที่ 14.5 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน LTF ของกสิกรไทย สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาทผ่านแอป K PLUS, K-My Funds และธนาคารกสิกรไทย รวมถึงผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888