ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวมีระยะเวลา 2 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมืออย่างบูรณาการตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายรัฐบาลในการสนับสนุน ส่งเสริม และเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางและผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากทรัพยากรธรรมชาติของไทย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนและสร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรของท้องถิ่น และบูรณาการร่วมกันในการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อใช้เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เวชสำอางไทย และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงตอบสนองความต้องการของตลาดในตลาดไทยและต่างประเทศ และการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีคุณค่าด้านเวชสำอางของชุมชน หรือท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า สร้างและรักษาเอกลักษณ์หรืออัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ตามธรรมชาติไว้ รวมทั้งเพื่อร่วมกันเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และบูรณาการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาจากทรัพยากรของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักและเข้าสู่ตลาดในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อจะส่งเสริมให้เกิดรายได้แก่ชุมชนหรือท้องถิ่น และสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรของท้องถิ่นให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต และร่วมผลักดันผลงานวิจัย และงานบริการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจเครื่องสำอางและเวชสำอาง การประชาสัมพันธ์ผลงานด้านการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเครื่องสำอาง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและการยอมรับในผลงานวิจัยของนักวิจัยไทยเพื่อก้าวสู่สากล
"...วว. มีความตั้งใจและมีเจตนารมณ์ให้นักวิจัยดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชนที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งบริษัทเอสแอนด์เจอินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ฯ ตอบโจทย์ของ วว. ในการเติบโตไปด้วยกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเป็นของขวัญปีใหม่ของ วว. ในวันนี้ วว.มีความตั้งใจที่จะสร้างงานวิจัยนวัตกรรมสู่พื้นที่จริง ลำพัง วว. หน่วยงานเดียวจะทำให้เกิดยาก หากมีภาคเอกชน มีพันธมิตรที่เดินไปด้วยกันก็จะช่วยกันสร้างความเข้มแข็ง ร่วมกันพัฒนาให้เป็นรูปธรรม กอปรกับการมีโครงสร้างพื้นฐานในหลากหลายภาคส่วนของ วว. เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานร่วมกันจะประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้ภายใต้การดำเนินงานของโครงการ Thai Cosmetopoeia นั้น มุ่งนำเอกลักษณ์ของพื้นที่จุดเด่นของชุมชนมาทำให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน เป็น Value Creative ให้เกิดประโยชน์ตามนโยบาย BCG ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2563 เป็นต้นไป..." ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต กล่าวตอนหนึ่งถึงความสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้
นายธีระศักดิ์ วิกิตเศรษฐ์ กรรมการบริษัทเอสแอนด์เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวแสดงความตั้งใจในความร่วมมือทางวิชาการว่า บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นตั้งใจให้การดำเนินโครงการบรรลุวัตถุประสงค์คืนรายได้ให้กับประชาชน ทั้งนี้บริษัทได้ทำวิจัยเรื่องข้าว สมุนไพรหลายชนิด และทำเป็นสารออกฤทธิ์สำหรับใช้ในเครื่องสำอางส่งออกต่างประเทศ การที่ วว. และบริษัทมีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกันจะเป็นโอกาสให้ความร่วมมือบังเกิดผลที่เป็นรูปธรรม วว.มีศักยภาพในการค้นคว้าวิจัยพัฒนาที่ลงลึกครอบคลุมทั้งประเทศ มีกระบวนการดำเนินงานไม่ใช่เฉพาะหาวัตถุดิบเท่านั้นแต่ลงไปสู่กระบวนการผลิตด้วย ในส่วนของบริษัทนั้นนอกจากจะมีศักยภาพในการทดสอบผลิตภัณฑ์แล้วยังมีศักยภาพด้านการตลาดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ ที่ส่งตรงถึงผู้บริโภค เช่น ในประเทศอังกฤษ เรามีบริษัท บู๊ทส์ รีเทลฯ บริษัทบอดี้ช้อปฯ ที่มีแนวความคิดในการดำเนินธุรกิจคล้ายคลึงกัน ฉะนั้นการที่เรามีความคิดตรงกันจะทำให้ความร่วมมือสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
"...ปัจจุบันการแข่งขันของธุรกิจเครื่องสำอางเข้มข้นมาก ดังนั้นการสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์จะสร้างความได้เปรียบกับคู่แข่งขนาดใหญ่ เช่น จีน ที่มีศักยภาพมาก เราต้องหาความแตกต่างและทำให้สำเร็จ การที่ วว. ลงพื้นที่ไปวิจัยพัฒนาและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ ดังเช่น ศูนย์นวัตกรรมหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรม ที่ดำเนินงานด้านโพรไบโอติก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่มาแรงในการนำทำเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าโพรไบโอติกมีคุณประโยชน์มากกว่าเคมีและเป็นทิศทางของบริษัทเราด้วย เชื่อมั่นว่าทั้งสององค์กรมีคุณค่ามีพลังที่จะทำให้เกิดผลดีต่อประชาชน สังคมและประเทศอย่างมีนัยสำคัญ..." กรรมการบริษัทเอสแอนด์เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าว