ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยที่ชะลอตัว ภาคธุรกิจ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างลงทุนอย่างระมัดระวัง เพื่อรอประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และผลกระทบปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งเรื่อง สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ความวุ่นวายในประเทศฮ่องกง ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-อิหร่านและต้องจับตามองเรื่อง เงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น ที่มีผลให้เงินบาทของไทยแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แต่การจะรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและลงทุน นั่นอาจจะเป็นความเสี่ยง "สูญเสีย" โอกาสในการขยายธุรกิจได้
นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท KW Thailand บริษัทตัวแทนขายและที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มียอดขายสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกาและมีเครือข่ายจำนวนพนักงานสูงที่สุดทั่วโลก เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามสัญญากับบริษัท Keller Williams หรือ (KW) จัดตั้ง บริษัท KW Thailand แห่งแรกในประเทศไทย ด้วยมูลค่าความร่วมมือตามแผนสัญญาระยะยาว 20 ปี ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยบริษัท KW เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตสูงมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการทดสอบได้ว่า เป็นระบบงานที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเป็นบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ที่มีนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับตัวแทนอย่างแท้จริง และมีระบบผลตอบแทน แบบ Passive Income (การให้เงินทำงานแทนตัวเอง) สามารถทำให้ผู้ที่เข้ามาร่วมงานกับบริษัท มีรายได้ที่ไม่มีข้อจำกัดตามความสามารถ
ทั้งนี้ มองว่า บริษัทตัวแทนอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปภายใน 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการขายต้องการผู้ขายที่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ตลอดจนมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่จะพัฒนาการขายอสังหาริมทรัพย์ ระหว่างเจ้าของทรัพย์กับผู้ซื้อ และนอกจากนั้นการทำการตลาดสำหรับโครงการใหม่ ณ ปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องใช้ระบบการพัฒนา Network หรือเครือข่ายตัวแทนขายเข้ามาช่วย นอกเหนือจากการทำการตลาดโดยการใช้สื่อทั่วไป และการพัฒนาฐานข้อมูลจำเป็นที่จะต้องใช้ แพลตฟอร์ม เดียวกัน เพื่อที่จะสร้างโอกาสทางการขายให้มากขึ้น"
สำหรับ Keller Williams Realty มีชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ในชื่อ Keller Williams อักษรย่อ "KW" ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีและแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติสัญชาติอเมริกัน โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองออสติน มลรัฐเท็กซัส เป็นบริษัทแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ด้านปริมาณยอดขาย จำนวนของตัวแทนขายมากกว่า 180,000 คนทั่วโลก และจำนวนอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน KW มีแฟรนไชส์ กว่า 36 ประเทศทั่วโลก มียอดขายในปี 2561 มากกว่า 9 ล้านล้านบาท ที่สำคัญ KW ได้รับการยอมรับและรางวัลมากมาย จากหน่วยงานและนิตยสารทางธุรกิจชั้นนำระดับโลกต่าง ๆ ได้แก่ Inc., Entrepreneur และ Forbes
- อันดับ 1 ในวงการอสังหาริมทรัพย์จากจำนวนของตัวแทน, ยูนิตที่ขายได้, และจำนวนปริมาณยอดขายในสหรัฐอเมริกา
- บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมที่สุดอันดับ 1
- บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1
- KW เป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีกำไรสูงที่สุด
ทั้งนี้ KW มีระบบที่แตกต่างจากระบบในท้องตลาด โดยตัวแทนขายที่เข้าเป็นสมาชิกกับ KW จะถูกเข้าร่วมในระบบ World wide ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางการขาย สามารถทำการค้าได้ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงทาง KW ยังมีระบบเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสนับสนุนในการทำงานของสมาชิก ในเบื้องต้นเช่น ระบบ Front Page ข้อมูลข่าวสาร , KW Connect ระบบ Training , KW Front Door การเชื่อมโยงระหว่าง Agent , KW Control Panel การใส่ Listing แต่ละคนเข้ารวมกันใน Website. ที่จะทำให้สมาชิกของ KW ได้รับประโยชน์จากระบบ นอกเหนือจากแบรนด์ระดับโลกที่มีความน่าเชื่อถือ นอกจากนั้น Grown Share (แบ่งปัน) ที่เป็น Passive Income ที่ตัวแทนของ KW ทุกคนจะได้รับตลอดชีวิตภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งเป็นระบบที่ได้มาตรฐานระดับโลก
โดยในเรื่องของการดำเนินธุรกิจในปีแรก (2563) ของ KW Thailand นั้น คือ การรับตัวแทนขายในนาม KW จำนวน 1,000 คน เป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท และจะมียอดขายเติบโตเป็นเท่าตัวในปีถัดไป ภายใต้นโยบายยกระดับสู่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ที่จะเป็นทางเลือกใหม่ที่มีเข้ามาในประเทศไทย
***"แคปปิตอล วัน"แตกไลน์ พัฒนาโครงการจัดสรรครั้งแรก
นายวิทย์ ยังได้กล่าวถึงแผนธุรกิจของบริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด บริษัทตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการบริการตลาดและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย มีพอร์ตที่บริหารโครงการคุณภาพทั้งในทำเลสุขุมวิทและในจังหวัดศรีราชา รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท เปิดเผยว่า ในปี 2563 ได้ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อตลาด ทำให้ยอดขายต่อหนึ่งโครงการมีแนวโน้มว่าจะน้อยลง แต่ที่ทางบริษัทฯ รักษาระดับยอดขายได้คงที่ เนื่องจากทางบริษัทมีโครงการเข้ามาบริหารจัดการเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันมีโครงการอยู่ประมาณ 15 โครงการ และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนโครงการขึ้นอีก 40% เพื่อรักษาระดับรายได้ภาพรวม และพยายามรักษาจำนวนโครงการให้ไม่มากจนเกินไปเพราะจะส่งผลถึงคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการ โดยเป้าหมายบริษัท มีโครงการที่จะพัฒนาในส่วนของโครงการแนวราบ เป็นของตนเองเป็นอีกหนึ่งธุรกิจมูลค่า 300-500 ล้านบาท ที่มีระดับราคาต่อยูนิตต่ำกว่า 3 ล้านบาท โดยเน้นทำเลที่มีศักยภาพ ใกล้แหล่งงานขนาดใหญ่
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2562 สรุปได้ว่า สามารถสร้างยอดขายมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยมีสัดส่วนของคนไทยเพิ่มขึ้น 30% ในขณะเดียวกันสัดส่วนการขายต่างชาติลดลง 50% ซึ่งในปกติในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทจะมีสัดส่วนการขายต่างชาติอยู่ที่ 40% และคนไทยมากถึง 60% เพราะฉะนั้นในปี2562ที่ผ่านมา สัดส่วนไม่ได้ลดลงมาก เพราะมีลูกค้าคนไทยเข้ามาทดแทนในส่วนลูกค้าต่างชาติที่ขาดหายไป
***จี้ยกเลิกเกณฑ์LTV-ดูแลค่าบาทจริงจัง
ส่วนทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีแนวโน้มการเติบโตอย่างคงที่ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีผลจากค่าเงินบาท และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน(เทรดวอร์) โดยทิศทางของตลาดขึ้นอยู่กับสถานะทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเราจะทราบทิศทางที่ชัดเจนประมาณเดือนพฤศจิกายน 2563 นี้ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของตลาดปีนี้ จึงไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น
ทั้งนี้ ตนมองว่า รัฐบาลควรที่จะแก้ไขอุปสรรรที่มีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ การแก้ไขค่าเงินบาทอย่างจริงจัง และล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับเกณฑ์มาตรการกำกับควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) นั้น ก็อาจจะทำให้บรรยากาศพอดูดีขึ้นบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นจะเซอร์ไพร์สมากนัก เนื่องจากเป็นการปรับลดบางมาตรการ LTV ลง แทนที่จะประกาศยกเลิกเกณฑ์ดังกล่าว
"การผ่อนมาตรการLTV เหมือนธปท.ยังแทงกั๊กอยู่ ไม่ลงให้สุดๆ ตอนนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าเป็นห่วง เปรียบไปก็เหมือน คนป่วยหนัก ต่างจากช่วงเดือนเมษายนปี 2562 ที่เริ่มเป็นแค่ เริ่มป่วย แต่ตอนนี้ ล่วงเลยมาเกือบปี คนไข้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงแล้ว สิ่งสำคัญตอนนี้ หากนโยบายไม่ชัดเจน และยังมีการกั๊กๆ อยู่ ผู้ที่ปฏิบัติ หมายถึง ธนาคารพาณิชย์ ก็ไม่กล้า ทำให้กู้ไม่ผ่านตามเกณฑ์อยู่ดี" นายวิทย์กล่าว
***ดบ.สินเชื่อบ้านในไทยแพงกว่าปท.เพื่อนบ้าน
นายวิทย์ กล่าวถึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในไทยว่า ควรปรับระบบกลไกการเงินที่เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้มีความเหมาะสม เนื่องจากปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อในด้านที่อยู่อาศัยของไทยตลอดอายุสัญญาเฉลี่ยอยู่ที่ 5.25% (สัญญาเงินกู้ที่อยู่อาศัย ประมาณ 30 ปี) ถือว่าสูงมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ดังนั้น สิ่งสำคัญ รัฐบาลควรจะส่งผ่านเรื่องการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปยังธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เพื่อปล่อยกู้ไปในตลาดอินเตอร์แบงก์ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีกำลัง และเข้ามามีส่วนร่วมในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตไปด้วย
"ธปท.ควรที่จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องดอกเบี้ยมากกว่า เพราะปัจจุบันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ยังมีสเปรดที่กว้างอยู่ ขณะที่สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นสินเชื่อที่ปลอดภัย มีหลักประกันที่สูงกว่าวงเงินกู้ ขณะที่ในแต่ละปี ราคาบ้านมีการปรับขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่ปล่อยให้ธนาคารเอารัดเอาเปรียบลูกค้ารายย่อย."