'นิด้า’ มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 63 โต 2.5 – 2.7% ชี้แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาครัฐ

พฤหัส ๓๐ มกราคม ๒๐๒๐ ๐๘:๑๙
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ส่องกล้องประเมินเศรษฐกิจไทยปี 63 ขยายตัว 2.5 – 2.7% รับแรงขับเคลี่อนจากการลงทุนภาครัฐเป็นหลัก มองส่งออกกลุ่มประเทศอาเซียนขยายตัวดี หลังเปิดเสรีการค้า ชี้มีปัจจัยเสี่ยงภายในและภายนอกประเทศเป็นแรงกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย พร้อมคาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ไม่เกิน 2.5%

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า นิด้าได้ประเมินปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5-2.7% โดยมีปัจจัยจากการขับเคลื่อนนโยบายการคลังที่กระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก โดยภาครัฐต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินในปี 2563 ที่มีวงเงินกว่า 3.2 ล้านล้านบาท เพื่อดำเนินตามแผนการลงทุน เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ปัจจุบันมีความคืบหน้าแผนงานที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีส่วนงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกกว่า 4 แสนล้านบาท ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านการจ้างงานและการลงทุนมากขึ้น

สำหรับภาคส่งออกของไทยในปี 2563 คาดว่ายังขยายตัวได้ โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญได้แก่ภูมิภาคอาเซียนที่มีมูลค่าส่งออกไปอาเซียนกว่า 27.14% ซึ่งเป็นผลพวงการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างสมาชิกอาเซียน พร้อมกันนี้ยังมุ่งขยายเศรษฐกิจใน 33 จังหวัดชายแดนของประเทศไทยที่มีพรมแดนติดกับประเทศเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ผ่านการทำกิจกรรมทางการค้า เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเกิดการกระจายรายได้ให้กับคนท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทำให้ภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว กระทบต่อค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้น ผลจากอิทธิพลของการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากต่างประเทศ และภาคการส่งออกมีแนวโน้มหดตัว -1.0% ถึง -2.0% ในปีหน้า 2) ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะหนี้เสียจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหนี้บัตรเครดิต 3) ผลกระทบจากนโยบายภาครัฐเรื่องการจัดระเบียบทางเท้ากระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มสตรีทฟู้ดและหาบเร่ 4) ภาคการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อในประเทศและต่างประเทศที่ซบเซา ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมไม่ชะลอลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต 5) นโยบายที่เอื้อต่อกลุ่มทุนใหญ่ ส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่เพียงพอ

ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยดังกล่าว ชี้ชัดว่านโยบายการคลังที่มีประสิทธิภาพจะได้ผลดีกว่านโยบายการเงิน เนื่องจากระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ แต่อคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปีหน้า มาอยู่ที่ระดับ 1.00 – 1.25% และอัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1.0 – 1.5% ส่วนค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งตัว มาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ พร้อมคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) แตะระดับ 1,700 จุด ผลจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะเติบโตได้ประมาณ 2.5 – 2.7%

รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงสร้างระบบเศรษฐกิจไทยในปี 2562 มูลค่าการส่งออกมีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมเป็นอย่างมาก โดยพึ่งพิงสูงถึง 77.2% เมื่อเกิดผลกระทบด้านสงครามการค้าสหรัฐและจีน ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับ 1 และ 2 คิดเป็นสัดส่วนส่งออก 12.6% และ 11.5% ตามลำดับส่งผลให้การส่งออกของไทยอยู่ในภาวะหดตัว โดยขยายตัวติดลบต่อเนื่อง 8 เดือน เฉลี่ยแล้วการส่งออกไทยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาหดตัว -4.8%

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศอย่างภาคการบริโภคและการลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทย ล่าสุดอยู่ที่ 78.7% และมีแนวโน้มขยายตัว ส่วน Capacity Utilization ภาคอุตสาหกรรมของไทยลดลงมาอยู่ที่ 63.88 สะท้อนให้เห็นได้ถึงกำลังการผลิตที่ยังคงเหลือจึงยังไม่เห็นสัญญานของภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มกำลังการผลิตหรือเกิดการขยายตัว และการจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายปี 63 เกิดความล่าช้า ทำให้กลไกของนโยบายการคลังเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านงบลงทุนและการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณดำเนินการได้ไม่เต็มที่

ส่วนภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นแหล่งรายได้หลักยังเติบโตที่ดี โดยประเมินจากผลสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลก ที่ Mastercard ได้สำรวจในปีนี้พบว่า กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนมากที่สุดในโลก และติดอันดับ 3 ของเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปใช้จ่ายในการพักค้างคืนมากที่สุดของโลก ซึ่งช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเติบโต 2.58% หรือประมาณ 26.56 ล้านคน และสร้างรายได้ประมาณ 1.28 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินหยวนกับค่าเงินบาทที่ต่างกันมากถึง 20% ทำให้เกิดผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเข้ามาในไทยลดลง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๙:๐๐ กรมอนามัย ลงพื้นที่เยียวยาผู้ประสบภัย เหตุแผ่นดินไหว
๒๘ มี.ค. ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ได้รับรางวัล Best Women CEO in Strategic Leadership - Healthcare
๒๘ มี.ค. ฉลองสงกรานต์และอีสเตอร์สุดชิคในเดือนเมษายนนี้ที่โรงแรม โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช รีสอร์ท
๒๘ มี.ค. เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ชวนน้องฉัตร เนรมิตความมั่นใจในคลาสสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ส่งต่อพลัง #EmpowerHER ฉลองเดือนสตรีสากล
๒๘ มี.ค. พาราไดซ์ พาร์ค มุ่งยกระดับประสบการณ์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่จากเดิม สู่การเป็น Health Wellness Destination เติมเต็มทุกความต้องการด้านสุขภาพและทุกไลฟ์สไตล์เพื่อชีวิตที่ดีของทุกคน
๒๘ มี.ค. เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เยี่ยมชม เลอโนท ประเทศไทย พร้อมร่วมกิจกรรมเวิร์กช็อปสุดพิเศษ ศิลปะการทำเวียนนัวเซอรี่ มาสเตอร์คลาส กับเชฟมิกาแอล
๒๘ มี.ค. คณะการท่องเที่ยวฯ DPU จัดเวทีประชัน HT MAKEUP GRAND COMPETITION 2025 ปี 2 เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านการแต่งหน้าเสริมบุคลิกภาพให้นักศึกษา
๒๘ มี.ค. สคล. ผนึกกำลังชุมชน รณรงค์ลด ละ เลิกเหล้า ต่อเนื่อง พุ่งเป้า ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ มุ่งสร้างสังคมสุขภาวะ
๒๘ มี.ค. NER สานต่อโครงการ NER สนับสนุนวิถีเกษตรยั่งยืน ปี2
๒๘ มี.ค. Readyplanet โชว์ศักยภาพผู้นำด้าน MarTech และ CRM Platform ในงาน MARTECH EXPO 2025