เพื่อให้สอดรับในการเดินหน้าพัฒนาระบบ 5G กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กทปส. ได้มอบทุนในการดำเนินงาน "โครงการจัดตั้งศูนย์ทดลองทดสอบ 5G ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" เพื่อใช้ในการทดสอบการให้บริการโทรคมนาคมไร้สายในระบบ 5G แก่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการทดสอบเทคโนโลยี
จุฬาฯ ชูบทบาทศูนย์ฯ สร้างแพลตฟอร์มทอดสอบ 5G
ทางด้าน ศาสตราจารย์ ดร.วาทิต เบญจพลกุล ประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการทดสอบการให้บริการโทรคมนาคมไร้สายในระบบ 5G ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า "โครงการจัดตั้งศูนย์ทดลองทดสอบ 5G ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ได้เตรียมพร้อมเพื่อรองรับการให้บริการโทรคมนาคม 5G ศูนย์ทดสอบฯ จะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเปิดที่ดำเนินงานด้านการทดสอบ การทดลองวิจัยเทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง การทดลองใช้งานจริง และในขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาบุคลากรคู่ขนานกันไปสำหรับรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้น หลังจากการวิจัยพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของเทคโนโลยีแล้ว ก็จะพัฒนาบริการในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกิดจากการดำเนินการของศูนย์ฯ ให้เป็นบริการนำร่อง และนำเสนอบริการดังกล่าวต่อสาธารณะชนต่อไป
ขณะนี้ได้จัดตั้งศูนย์ 5G AI/IoT Innovation Center เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเปิดดำเนินการที่อาคารจุฬาพัฒน์ 14 ชั้น M เรามีห้องแล็บ 5 ห้อง มีบุคลากรและนิสิตของจุฬาฯ สลับสับเปลี่ยนกันเข้าปฏิบัติการด้านการทดสอบและวิจัยประมาณ 50 – 60 คน มีพื้นที่สำหรับให้หน่วยงานภายนอกทั้ง Operator และ Vendor ที่สนใจเข้ามาทำการศึกษาวิจัย มาใช้ร่วมกับเราได้เพื่อเรียนรู้ร่วมกันเป็นการสร้างความแข็งแกร่งด้านการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ร่วมกัน และนอกเหนือจากศูนย์ฯ 5G แล้ว เรายังมีการพัฒนางานวิจัยในห้องแล็บต่าง ๆ ของภาควิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะเป็นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงในการพัฒนาและประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 5G ในอนาคต
สำหรับศูนย์ฯ 5G AI/IoT Innovation Center ที่ได้จัดตั้งขึ้นนี้เราจะทำให้เป็นพื้นที่สาธิตการใช้งานเทคโนโลยี 5G ปัญญาประดิษฐ์(AI) และอินเทอร์เน็ตทุกสิ่ง (Internet of Thing :IoT) เพื่อการศึกษาดูงานให้แก่หน่วยงานและผู้สนใจที่เกี่ยวข้องจากทั้งในและต่างประเทศ เป็นการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางวิชาการเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้รวมถึงการเผยแพร่ความรู้ให้แก่นิสิตนักศึกษา และวิศวกรเพื่อเป็นฐานในการสนับสนุนการขยายตัวของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาเราเปิดกว้างและยินดีต้อนรับองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ภาคเอกชน หรือสถาบันการศึกษา ในการเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยและพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ร่วมกัน หน่วยงานที่เข้ามาร่วมกับเรา ขณะนี้มีโอปอเรเตอร์ ได้แก่ AIS, True, Dtac, TOT/CAT ผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์อย่าง Intel, Nokia, Ericsson, Huawei หรือบริษัท โตโยต้า ก็เข้ามาร่วมกับเราในการพัฒนายานยนต์อัตโนมัติ เป็นต้น เราคาดหวังว่าเมื่อมีความร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาอื่น ๆ และองค์กรภาคเอกชน จะทำให้เราสามารถขับเคลื่อนศูนย์ฯ แห่งนี้ให้มีความยั่งยืนและเป็นแหล่งผลิตองค์ความรู้ด้านโทรคมนาคมที่มีมาตรฐานให้กับสังคมไทยต่อไป
อย่างไรก็ตามในการจัดตั้งศูนย์ฯ 5G มีวัตถุประสงค์หลัก ๆ ในการสร้างแพลตฟอร์มเปิดสำหรับการทดสอบ ทดลอง วิจัยเทคโนโลยี 5G เพื่อรองรับการให้บริการโทรคมนาคมยุคใหม่ และเพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรสำหรับรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมด้านโทรคมนาคมในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นใช้เป็นพื้นที่สาธิตการใช้งานเทคโนโลยี 5G AI และ IoT สำหรับการศึกษาดูงานรวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับชาติและนานาชาติ อีกทั้งยังมุ่งหวังให้ศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นแหล่งศึกษาและจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์โครงการข่าย และพื้นที่สำหรับพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี AI และ IoT ตลอดจนเทคโนโลยีที่สำคัญอื่น ๆ อีกด้วย
"เราไม่ควรมองเฉพาะแค่การสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม 5G เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกด้วย เช่น การสร้างและพัฒนาบุคลากรซึ่งในโครงการฯ โดยนิสิตจะแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกศึกษาและทำวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยี 5G ร่วมกันกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้นักวิจัยในประเทศไทยมีความร่วมมือและบทบาทในระดับโลกอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เพื่อพัฒนาหลักสูตรการวิจัยกับต่างประเทศมากขึ้น อันจะเป็นการยกระดับในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทยให้ก้าวสู่การวิจัยในมิติใหม่และทันสมัย ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้และความก้าวล้ำอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะยาว รวมทั้งเป็นการขับเคลื่อนประเทศชาติให้มีศักยภาพและความเข้าใจในการสร้างบทบาทการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี 5G ได้ตรงตามความต้องการ ทันยุคสมัย ซึ่งจะนำไปสู่วิสัยทัศน์ใหม่ๆ ให้กับนักวิจัย ผู้ประกอบการ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ ของประเทศไทยให้พัฒนาอย่างก้าวไกล" ศาสตราจารย์ ดร.วาทิต เบญจพลกุล กล่าว
การพัฒนาโครงการฯ ดังกล่าว นอกเหนือจากการพัฒนาบุคคล และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยี อุปกรณ์ และเครื่องมือที่จำเป็นต่าง ๆ ประกอบด้วย การจัดตั้งศูนย์ 5G AI/IoT Innovation Center เพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้สู่สังคมทุกภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการผลิตผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 5G, AI และ IoT โดยร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์ทดลองทดสอบ 5G ซึ่งปัจจุบันมีความร่วมมือกับสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติและมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการวัดสัญญาณ ความพร้อมของโครงข่าย และคุณภาพของการให้บริการ 5G นอกจากนี้ยังมีโครงการ use case มากมายในด้านความสมาร์ตต่าง ๆ เช่น Smart Energy, Smart Hospital, Smart Mobility, Smart Robotic เป็นต้น ซึ่งผลการศึกษาวิจัยที่ได้ในโครงการเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้สามารถจะต่อยอดและพัฒนาเป็นต้นแบบผลิตภัณฑ์ให้กับประเทศไทยในอนาคตได้
โอปอเรเตอร์ร่วมสนุนเทคโนโลยี 5G ขับเคลื่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมในไทย
โครงการฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานและบริษัท Operator ที่ให้บริการโทรคมนาคมระดับชั้นนำของประเทศไทยจำนวนมาก ได้แก่ AIS, True, Dtac และ TOT/CAT (ซึ่งกำลังควบรวมเป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT) ซึ่งปัจจุบัน Operator กลุ่มดังกล่าวได้เข้ายื่นเอกสารประมูลคลื่นความถี่ 5G ประกอบด้วยคลื่นความถี่ทั้งหมด 4 ย่าน คือ ย่านความถี่ 700 MHz, 1800 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ ที่ผ่านมาในโครงการฯ นี้ Operator ได้มีการติดตั้งและทดลองทดสอบอุปกรณ์สื่อสารระบบ 5G ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการพัฒนาและทดสอบนวัตกรรมในพื้นที่กำกับดูแลเฉพาะ (Regulatory Sandbox) จาก กสทช. จึงทำให้พื้นที่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสามารถจะพัฒนาแอปพลิเคชันและทดสอบการให้บริการใหม่ ๆ สำหรับเทคโนโลยี 5G รวมถึงเทคโนโลยีสื่อสารบนคลื่นความถี่ในย่านต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ได้แก่ 700 MHz, 900 MHz, 2500 MHz, 3300 MHz (C-Band), 5 GHz, 26 GHz, 28 GHz และ Millimeter Wave (57 GHz และ 81 GHz) ได้อีกด้วย ปัจจุบันผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมมีแผนดำเนินการที่จะติดตั้งสถานีฐาน (Base Station) จำนวน 15 สถานีฐาน เพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานระบบ 5G ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือของกลุ่ม Vertical Industries นี้ถือว่าเป็นกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่เก่งกาจเป็นอย่างยิ่งของ กสทช. และ กทปส. ที่มี Vertical Industries เข้ามาร่วมในโครงการฯ นี้ เนื่องจากการพัฒนาการใช้ระบบ 5G โดยส่วนใหญ่ทั่วไปจะเริ่มต้นจากพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ โดยอยู่ในกลุ่มที่จำเป็นต้องพึ่งพาการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเช่นภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ดังนั้นการเลือกพื้นที่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและให้มี Vertical Industries จึงเป็นกลุ่มขับเคลื่อนที่สำคัญซึ่งมีการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี 5G ได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการใช้เทคโนโลยี 5G ไปยังภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ๆ มีความสนใจในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น 5G, IoT, AI และ Big Data มาใช้ปรับปรุงพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันเพื่อการให้บริการลูกค้าในรูปแบบใหม่ๆและตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังทำให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้นแอปพลิเคชันใหม่ๆ ที่นำมาให้บริการแก่ลูกค้า ในปัจจุบันเชื่อมั่นว่าจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจโทรคมนาคมและไอทีอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้การจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยสามารถใช้เทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเทคโนโลยี 5G ให้เกิดประโยชน์ในเชิงนวัตกรรมอย่างแท้จริง จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนไม่เพียงเฉพาะแค่ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมเท่านั้น เนื่องจากเทคโนโลยี 5G เป็นการเชื่อมต่อสื่อสารแบบไร้สายระหว่างอุปกรณ์ทุกสรรพสิ่งที่เราใช้งานในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น พัดลม ประตูบ้าน รถยนต์ โดรน รวมไปถึงอุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ ระบบฐานข้อมูล และระบบควบคุมอัตโนมัติ ซึ่งแตกต่างจากเทคโนโลยี 4จี ในปัจจุบันที่เน้นใช้งานเฉพาะเพียงแค่โทรศัพท์เคลื่อนที่เท่านั้น นอกจากนี้การใช้งานเทคโนโลยี 5G ยังแบ่งฟีเจอร์หลัก ๆ ออกเป็น 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ eMBB (enhanced Mobile BroadBand) ซึ่งเน้นการใช้งานสำหรับระบบที่ต้องการระบบสื่อสารไร้สายที่มีอัตราการรับส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงยิ่งยวด mMTC (massive Machine Type Communications) เน้นการใช้งานสำหรับระบบที่ต้องการระบบสื่อสารไร้สายที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากได้พร้อม ๆ กันและประหยัดพลังงาน และสุดท้ายคือ URLLC (Ultra-Reliable and Low Latency Communications) เน้นการใช้งานสำหรับระบบที่ต้องการระบบสื่อสารไร้สายที่มีเสถียรภาพสูงและตอบสนองได้อย่างฉับไว ดังนั้นในภาคอุตสาหกรรมจึงมีความต้องการใช้งานเทคโนโลยี 5G ในเชิงนวัตกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทอุตสาหกรรม
ทั้งนี้คาดหวังว่าประเทศไทยจะมีศูนย์ทดลองทดสอบ 5G ซึ่งภาคอุตสาหกรรมสามารถจะเข้ามาร่วมวิจัยกับสถาบันศึกษาที่มีความเป็นกลาง ซึ่งโครงการฯ นี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแต่ได้เปิดกว้างให้สถาบันศึกษาและสถาบันวิจัยอื่นๆ สามารถเข้ามาร่วมศึกษาวิจัยได้ เพื่อร่วมกันศึกษาทดลองทดสอบการใช้งานระบบ 5G ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งยังมีศูนย์นวัตกรรม 5G, AI และ IoT ที่เปิดให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเข้ามาศึกษาดูงานสาธิตการใช้งานเทคโนโลยี และพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี 5G, AI และ IoT ตลอดจนเทคโนโลยีที่สำคัญอื่น ๆ ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรมอย่างมีหลักวิธี รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า
ทางด้าน นายนิพนธ์ จงวิชิต ผู้อำนวยการกองทุนวิจัยและพัฒนาฯ กล่าวเสริมว่า จากการที่ทาง กสทช. เปิดประมูลคลื่นความถี่ 5G ให้โอปอเรเตอร์ เพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยทางกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือ กทปส. ได้มอบทุน "โครงการจัดตั้งศูนย์ทดลองทดสอบ 5G ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ในการดำเนินงานโครงการทดสอบการให้บริการโทรคมนาคมไร้สายในระบบ 5G แก่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยจะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการทดสอบเทคโนโลยี ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและนำไปสู่การต่อยอดพัฒนาแอปพลิเคชั่น รวมถึงการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีฯ