นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า ในระยะนี้เริ่มเห็นสัญญาณหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นบางแล้ว โดยสาเหตุหลักมาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID -19) ที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง จากสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ที่มีผู้ติดเชื้อใหม่ประมาณ 3,000-4,000 คนต่อวัน ลดเหลือประมาณ 1,000 คนต่อวันในปัจจุบัน และหากอิงกับข้อมูลในช่วงที่โรคซาร์สระบาดในปี 2546 ที่ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ลดลงนั้น การชะลอตัวลงของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ของ Covid - 19 ดังกล่าวจึงนับว่าเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นในรอบนี้
นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีในช่วงที่ผ่านมาก็ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกจีนในเดือนธันวาคม 2562 ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน อีกทั้ง ในเดือนมกราคม 2563 ดัชนี ISM Manufacturing ของสหรัฐฯ ก็กลับมาอยู่ในระดับเกิน 50 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จากผลบวกกรณีที่สหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟส 1
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดจะตอบรับข่าวบวกในข้างต้นและปรับตัวเป็นขาขึ้นได้ แต่ TISCO ESU ยังมองว่าขาขึ้นของตลาดหุ้นในรอบนี้อาจปรับขึ้นได้ในระยะสั้น เนื่องจาก มีปัจจัยเสี่ยง 2 ประการที่อาจกลับมากดดันตลาดในช่วงไตรมาส 2 ประการแรก คือ หากนายเบอร์นี แซนเดอร์ หนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมเครตได้รับความนิยมมากขึ้น อาจเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นได้ เพราะนโยบายของนายแซนเดอร์มักจะไปกดดันต่อผลประกอบการของภาคธุรกิจ เช่น เสนอให้ขึ้นภาษีนิติบุคคล ภาษีบุคคลธรรมดา และเพิ่มภาษีจากรายได้จากการลงทุนเพื่อนำเงินไปอุดหนุนสวัสดิการสังคม เช่น บริการสุขภาพ รวมไปถึงการเสนอให้มีการปฏิรูปธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่อาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อนโยบายการเงินได้ โดยหากในการลงคะแนนเลือกตัวแทนพรรคในวันที่ 3 มีนาคม 2563 นี้ นายแซนเดอร์ได้รับคะแนนโหวตที่ดี นักลงทุนก็มีโอกาสเทขายหุ้นในวันนั้นได้
ประการที่สอง คือ Fed อาจจะลดการอัดฉีดสภาพคล่อง เพราะในปัจจุบันการอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมากนั้นดูจะเริ่มมีความจำเป็นน้อยลง หลังจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินเริ่มลดลงสู่ระดับปกติตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ซึ่งเป็นเครื่องชี้ว่าปัญหาสภาพคล่องในตลาดเงินในสหรัฐฯ นั้นได้คลี่คลายลงไปแล้ว โดยในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นถูกขับเคลื่อนโดยสภาพคล่องที่ Fed และธนาคารกลางสำคัญอื่นๆ ของโลกได้อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ
เห็นได้จากในไตรมาส 4/2562 ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับพุ่งขึ้นพร้อมกับการกลับมาอัดฉีดสภาพคล่องของ Fed ดังนั้น ตลาดหุ้นจึงกำลังจับตาท่าทีของ Fed อย่างใกล้ชิดว่าจะถอนมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องออกเมื่อใด
"แม้ในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อเดือนมกราคม Fed จะระบุว่าจะยังคงเข้าซื้อพันธบัตรระยะสั้น ไปจนถึงเมษายน 2563 เป็นอย่างน้อย แต่หากดูงบดุลของ Fed ในช่วงหลังก็จะเห็นว่า Fed ได้เริ่มทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องไปแล้วบางส่วน ซึ่งหาก Fed ประกาศชัดเจนว่าจะหยุดอัดฉีดสภาพคล่องเมื่อใด ตลาดหุ้นที่ถูกขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่องเป็นหลัก ก็มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานตามไปด้วย" นายคมศรกล่าว
นอกจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจของเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ของแต่ละประเทศน่าออกมาแย่ เพราะจะเริ่มได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาดหุ้นอีกด้วย ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์ TISCO ESU แนะนำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นเพื่อทำกำไร และปรับพอร์ตมาถือเงินสดเพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่จะเข้ามากดดันตลาดในช่วงไตรมาส 2