นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า "SMPC" รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจปี 2563 คาดว่าจะดีกว่าปี 2562 โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 30% โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาจะเติบโตขึ้นมากจากปีที่ผ่านมา ตลาดเอเชียมีแนวโน้มดีขึ้น ขณะที่ผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้บริษัทฯ ได้อานิสงส์บวกมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ ในฐานะผู้ส่งออก แต่เนื่องจากบริษัทฯมีการนำเข้าวัตถุดิบเป็นเงินตราต่างประเทศ ทำให้มีการป้องกันความเสี่ยงแบบ Natural Hedging ประกอบการพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นเช่นการซื้อ-ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในส่วนของการดำเนินงาน บริษัทยังเน้นนโยบายการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องทุกภาคส่วน เพื่อสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพด้วยต้นทุนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากถังแก๊สเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ลูกค้าจึงเริ่มกลับมาสั่งซื้อในช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา และในปี 2562 ผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น ด้วยภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น บริษัทยังคงมุ้งเน้นขยายตลาดและผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงสามารถรักษาอัตราการทำกำไรได้ในระดับปกติ
ทั้งนี้เพื่อสะท้อนความเชื่อมั่น และตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานงวดปี 2562 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในอัตราหุ้นละ 0.42 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วสำหรับงวด 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.24 บาท เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ยังเหลือเงินปันผลจ่ายสำหรับงวด 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นไม่เกิน 97 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 8 เมษายน 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2563
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ งวดปี 2562 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 3,255.96 ล้านบาท โดยยอดขายลดลง 1,196.97 ล้านบาท หรือลดลง 26.9% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4,452.93 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิงวดปี 2562 อยู่ที่ 375.19 ล้านบาท ลดลง 183.23 ล้านบาท หรือลดลง 32.8% จากงวดปี 2561 ที่มีกำไร 558.42 ล้านบาท
"สาเหตุที่ยอดขายและกำไรลดลง เนื่องจากภาวะค่าเงินบาทแข็งอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงมากขึ้น ส่งผลต่ออัตราการบริโภคลดลง นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการชะลอสั่งซื้อของลูกค้าในแถบเอเชียใต้ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินท้องถิ่นของลูกค้าต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นเข้มงวดด้านการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ามากขึ้น" นายสุรศักดิ์ กล่าว