นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และต่อยอดให้บริษัทลูกเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกทั่วไทย เปิดเผยผลประกอบการสำหรับปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการพร้อมทั้งงานวิศวกรรม อยู่ที่ 5,662 ล้านบาท เปรียบเทียบจากปีก่อนเพิ่มขึ้น 5.4% โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานหลังหักดอกเบี้ยจ่าย และภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 297.80 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 5.3% แต่หากดูจากงบการเงิน ซึ่งต้องโชว์ผลการดำเนินงานตามมาตรฐานระบบบัญชีใหม่ จะพบตัวเลขขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 102.40 ล้านบาท (Unrealized loss on exchange rate) ซึ่งในรายงานงบดุลต้องนำตัวเลขนี้มาหักลบ ทำให้ดูเสมือนกำไรสุทธิของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย (เนื่องจากงานวิศวกรรมโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการจองอัตราแลกเปลี่ยนของเงินยูโร เพื่อป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าไว้นี้ 40 บาท โดยต่อมาค่าเงินยูโรลดลงเหลือประมาณ 34 บาท) ทำให้บรรทัดสุดท้ายของกำไรสุทธิ จากงบการเงินรวมอยู่ที่ 195.40 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 124.40 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 102.40 ล้านบาทนี้ ได้ถูกล้างไปเรียบร้อยแล้วในผลการดำเนินงานจริงในปี 2563 นี้
อนึ่ง คณะกรรมการฯ และผู้บริหาร ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ โดยถอดบทเรียนในอดีตตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และปรับยุทธศาสตร์เพื่อมุ่งเน้นทำกำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทฯ โดยไม่เน้นการเติบโตของรายได้ ทำให้นับจากปี 2563 เป็นต้นไป จนถึงปี 2567 บริษัทฯ ได้ปรับสัดส่วนรายได้ของธุรกิจที่มีอัตรากำไรที่ดีเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ จะเพิ่มสัดส่วนของรายได้เป็นสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม เพิ่มขึ้นจากอัตรา 40% เป็น 45% และเพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจโทรคมนาคมจากสัดส่วนรายได้ของกลุ่มที่ 40% เป็น 50% โดยลดสัดส่วนของธุรกิจวิศวกรรมจากเดิมสัดส่วน 20% ให้เหลือไม่เกิน 5% ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2563 เป็นต้นไป จะได้เห็นการเติบโตของอัตรากำไรสุทธิ ซึ่งตั้งเป้าไว้ในปี 2563 จะมีรายได้ 5,950 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิที่ 6.0 % โดยจะปรับเพิ่มขึ้นทุกปีเป็น 7.4% (ในปี 2564), 7.8% (ในปี 2565), 8.15% (ในปี 2566), 8.5% (ในปี 2567)
และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและขอโอกาสในการปรับกลยุทธ์โครงสร้างของรายได้ใหม่ เพื่อสร้างความยั่งยืนของผลการดำเนินงาน ดังนั้นคณะกรรมการฯ จึงได้อนุมัติปันผลในปีนี้ โดยเทียบสัดส่วนของราคาหุ้นในตลาด ณ ปัจจุบัน เท่ากับจะจ่ายปันผลในอัตรา Dividend Yield ประมาณ 7% โดยปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 15:1 และเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท ซึ่งคณะผู้บริหารและคณะกรรมการฯ มั่นใจว่า หากสามารถดำเนินธุรกิจและปรับโครงสร้างใหม่ได้ตามแผนและยุทธศาสตร์ที่วางไว้ จะสามารถทำให้ผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจ และเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ ที่ได้วางยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนตลอดไป