นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยธุรกิจในประเทศไทยและธุรกิจในต่างประเทศซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทย่อยในสิงคโปร์ ทั้งสองต่างก็ถูกโจมตีโดย เจทรัสต์ เป็นคดีฟื้นฟูกิจการในไทย และเป็นคดีแพ่งในสิงคโปร์ เราจึงจำเป็นต้องลดขนาดบัญชีลูกหนี้ลงทั้งในไทยและกัมพูชา อย่างไรก็ตามเมื่อเราชนะคดีครั้งใหญ่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศาลล้มละลายกลางได้ยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ ทำให้เราสามารถกลับมาขยายธุรกิจในไทยได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในไตรมาสที่สี่ปีที่ผ่านมา และเมื่อเร็วๆนี้ เราก็ชนะคดีในสิงคโปร์เช่นกัน ส่งผลให้ธุรกิจหลักทั้งสองของเราต่างก็มีความคล่องตัวมีอิสระในการดำเนินงาน. พร้อมกับที่เรามีเงินสดมากกว่า 3 พันล้าน เราจึงมั่นใจปีนี้ 2563 จะเป็นปีที่ดีของพวกเรา”
นายอลัน ฌอง ปาสคาล ดูเฟส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าผลประกอบการโดยรวมในปี 2562 ของบริษัทฯขาดทุน 21.61 ล้านบาท แต่ธุรกิจของเราในไทยก็เติบโตขึ้นมากกว่า 79 ล้านบาท ผลประกอบการในไทย (ไม่รวมรายจ่ายของกลุ่ม เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการเงิน, ค่าที่ปรึกษา และอัตราแลกเปลี่ยน) เพิ่มขึ้นเป็น 537 ล้านบาท จากเดิม 458 ล้านบาท เราพอใจเป็นอย่างมากกับการพัฒนาและเติบโตของธุรกิจในไทยทั้งที่อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน. ในปีที่ผ่านมา ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทฯ มีรายได้ลดลง 340 ล้านบาท หรือ 12% เมื่อเทียบกับปี 2561 ในขณะที่รายจ่ายเกี่ยวกับค่าบริการและค่าบริหารซึ่งไม่รวมถึงค่าที่ปรึกษา ลดลง 154 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13 % โดยปัจจัยลบมาจากค่าบริการทางกฎหมายมากกว่า 174 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นมากกว่า 100%) และการตั้งด้อยค่าที่ไม่ใช่เงินสดจำนวน 135 ล้านบาทสำหรับการลงทุนใน Bank JTrust บริษัทในกลุ่มของ JTrust ซึ่งเป็นคู่กรณีในคดีความของเรา ค่าบริการทางกฎหมายและการตั้งด้อยค่าใน Bank JTrust ทำให้กำไรลดลงเกือบ 310 ล้านบาท และนี่เป็นเหตุผลที่เราขาดทุนปีนี้
นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่แล้ว 2562 เรายังคงต่อสู้คดีกับ JTrust อย่างต่อเนื่องในหลายๆ ประเทศ ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ธุรกิจของเรามีกำไรและเติบโตอีกครั้ง เราต่อสู้คดีกับ JTrust ในสิงคโปร์ตั้งแต่ปีที่แล้วและเราเพิ่งชนะคดีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา. เรายังคงเตรียมต่อสู้คดี JTrust ในประเทศไทยและหวังว่าจะมีผลในทางเดียวกัน ตามที่คุณอลันกล่าวไว้ เราปรับปรุงธุรกิจของเราให้มีประสิทธิผลมากขึ้นและมีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัดสำหรับธุรกิจในไทยและกัมพูชา-บริษัทย่อยสองแห่งที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของเรา แต่น่าเสียดายที่การเติบโตนี้ซ่อนอยู่ในกำไรสุทธิของเรา เนื่องจากค่าบริการทางกฎหมายและการตั้งด้อยค่า เกี่ยวกับค่าบริการทางกฎหมายของ JTrust ซึ่งเริ่มลดลงตั้งแต่เราชนะคดีในสิงคโปร์ อย่างไรก็ตามเราจะเริ่มดำเนินการสู้กลับ JTrust และ ฟ้องเรียกค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายที่ JTrust ก่อให้เกิดขึ้นผ่านการฟ้องคดี เราเชื่อมั่นในธุรกิจของเราและโอกาสในธุรกิจ และคาดว่าในปี 2563 จะไม่ใช่แค่ปีที่ดีของเราด้านคดีความ แต่จะเป็นปีที่ดีด้านผลประกอบการที่มีกำไรเช่นกัน เนื่องจากเราประกอบธุรกิจได้คล่องตัวขึ้น