นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบเกือบ 150 โครงการ (รวมโครงการที่ LPP บริษัทในเครือได้ขยายงานบริหารจัดการไปยังโครงการภายนอกด้วย) โดยร่วมกับคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดทุกโครงการ ประกาศยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สูงสุด สั่งการทุกบริษัทในเครือ L.P.N.Development Group ทั้งบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ผู้บริหารจัดการหลังลูกค้าเข้าอยู่อาศัยในทุกโครงการที่พัฒนาและโครงการของบริษัทภายนอกด้วย รวมถึงบริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (LPC) ผู้บริหารจัดการด้านการดูแลรักษาความสะอาดในทุกโครงการ รวมถึงผู้ที่ดูแลสำนักงานขายทุกโครงการ ให้เข้มงวดและดำเนินมาตรการป้องกันสูงสุดทั้งการเฝ้าระวัง การป้องกัน และควบคุม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นตามที่กระทรวงสาธารณสุขและราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID)) เป็นโรคติดต่ออันตรายตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสจากคนสู่คนโดยเฉพาะคนในครอบครัว LPN มีความห่วงใยต่อเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยในโครงการ “ลุมพินี” ทุกท่าน จึงยกระดับการป้องกันที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีศูนย์เฝ้าระวังภัยไวรัสโควิด-19 ชั่วคราว ที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่
การให้ความรู้ โดยประสานข้อมูลกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโควิค-19 และวิธีป้องกันในทุกช่องทางสื่อสาร ทั้งป้ายบริเวณทางเข้า-ออกอาคาร บอร์ดประชาสัมพันธ์ในลิฟต์ รวมถึงสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook “Condo Lumpini”คัดกรองผู้ที่เข้ามาติดต่อนิติบุคคลอาคารชุดหรือผู้รับเหมาที่เข้ามาทำงานในอาคาร ด้วยเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีประจำในทุกสำนักงานนิติฯอาคารสำนักงาน เช่น ลุมพินี ทาวเวอร์ ที่มีผู้เข้ามาติดต่อที่เข้า-ออกอาคารจำนวนมากในแต่ละวัน ได้จัดทำเส้นทางแยกผู้เข้า-ออกอาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรอง และเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่หลุดรอดจากการคัดกรองแน่นอนจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการรักษาความสะอาด เช่น สบู่ล้างมือภายในห้องน้ำส่วนกลางทุกห้อง และแอลกอฮอลล์แบบเจล บริเวณทางเข้า-ออก Lobby รวมถึงหน้าลิฟต์ และห้องสันทนาการต่างๆในอาคารเข้มงวดด้านการรักษาความสะอาด โดยเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น มือจับประตู ปุ่มกดลิฟต์ ห้องสันทนาการ ห้องออกกำลังกาย และทุกจุดสัมผัสในส่วนสันทนาการ โดยทำความสะอาดทุก 2 ชั่วโมงการฉีดพ่นทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและการเช็ดทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนกลาง โดยเฉพาะในจุด in door ที่มีการใช้พื้นที่ร่วมกัน เช่น Lobby ห้องเอนกประสงค์ ลิฟต์ชั้น G ห้องเด็ก ห้องออกกำลังกาย หรือแม้แต่บริเวณพื้นที่เปิดโล่ง เช่น Sky Lounge รวมถึงภายในสำนักงานนิติบุคคลฯ ที่เจ้าของร่วมจะเข้ามาติดต่ออยู่เสมอกำหนดให้เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยและเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่ปฏิบัติงาน และหากพบมีอาการป่วย ไอ เป็นไข้ ให้หยุดปฏิบัติงานทันที โดยให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาจนกว่าจะหาย หรือกรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศจะให้หยุดงานเพื่อเฝ้าระวัง 14 วันเจ้าของร่วมและผู้พักอาศัยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ เมื่อกลับเข้าพักอาศัยในอาคารชุด ขอความร่วมมือแจ้งฝ่ายจัดการทันที และเฝ้าระวังโดยสังเกตว่ามีอาการไอ จาม มีไข้หรือไม่ ในห้องชุดตลอด 14 วัน และต้องใช้หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกมาบริเวณพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงพบแพทย์ทันทีที่มีอาการผิดปกติ (โดยติดต่อฝ่ายจัดการหรือกรมควบคุมโรค หมายเลข 1422)
นอกจากนี้ ฝ่ายจัดการจะเพิ่มมาตรการคัดกรองผู้เช่าพักอาศัย ผู้เข้า-ออกอาคารที่เป็นชาวต่างชาติ จะต้องแสดงเอกสารหรือหนังสือรับรองจากแพทย์หรือสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ ว่ามีสุขภาพที่ปกติ ไม่เจ็บป่วย จึงจะเข้าพักอาศัยได้ และต้องยินยอมให้ฝ่ายจัดการตรวจวัดอุณหภูมิ หากสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะไม่อนุญาตให้เข้าพักในอาคาร
“อย่างไรก็ตาม คนไทยทุกคนคงไม่อยากเห็นประเทศเข้าสู่การระบาดในระยะที่ 3 เพราะธุรกิจทุกประเภทจะต้องหยุดชะงักลงทันที และอาจฉุดให้เศรษฐกิจไทยไม่มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นได้ จิตสาธารณะจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพียงดูแลป้องกันตนเองอย่างดีที่สุด ก็เท่ากับป้องกันคนที่คุณรัก สังคม และประเทศชาติโดยรวม” นายโอภาสกล่าวทิ้งท้าย