นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานในปี 2562 ภาพรวมรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างมาก ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นการบริหารต้นทุนให้ลดลง อีกทั้ง การกระจายกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของการเติบโตของรายได้สำคัญในปี 2562 ที่ผ่านมา
เพื่อพร้อมรับโอกาสและสร้างฐานรายได้อย่างสม่ำเสมอ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการลงทุนก่อสร้างโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ ถนนคู้บอน กรุงเทพฯ โดยมีสิทธิการเช่าที่ดินระยะเวลา 30 ปี เนื้อที่ดินทั้งหมด 21 ไร่ 1 งาน 95.8 ตารางวา และจะเป็นศูนย์การค้าที่มีพื้นที่พัฒนาใหญ่ที่สุดของบริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 โดยทำเลดังกล่าวมีศักยภาพ ใกล้กับแหล่งชุมชน ตอบสนองความต้องการของประชากรจำนวนมากในพื้นที่ดังกล่าว ที่ต้องการความสะดวกสบายและความหลากหลายของร้านค้าและร้านอาหารมากขึ้น ซึ่งรูปแบบของศูนย์การค้าแห่งใหม่จะประกอบด้วยศูนย์การค้าชุมชน และโครงการพัฒนาอสังหาฯ ให้เช่าระยะยาว ที่จะสร้างจุดเด่นความน่าสนใจให้กับผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ “The Jas Village อมตะ” ใกล้นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะเปิดตัวโครงการภายในไตรมาส 2/2563 นี้ ตอบโจทย์ชุมชนในพื้นที่ และพร้อมรับกำลังซื้อจาก EEC ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้ในปี 2563 บริษัทฯ มีโครงการภายใต้การบริหารรวม 4 โครงการ และโครงการที่กำลังจะก่อสร้าง 1 โครงการ สนับสนุนรายได้ค่าเช่าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ปีนี้ เราใช้แบรนด์ The Jas Village ในการขยายและพัฒนาศูนย์การค้าที่สามารถตอบโจทย์แหล่งชุมชน ด้วยโมเดลที่เราชำนาญ ใช้งบลงทุนในการก่อสร้างน้อย เป็นศูนย์การค้าชั้นเดียว เพื่อเข้าถึงร้านค้าได้สะดวก พร้อมด้วยที่จอดรถจำนวนมาก การตกแต่งมีความทันสมัย ใกล้ชิดธรรมชาติ มุ่งหวังตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบครัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ได้แก่ กลุ่มเด็ก กลุ่มครอบครัว และกลุ่มคนทำงาน เป็นต้น ประกอบกับ มองว่านี่คือจังหวะที่ดีในการขยายการลงทุน เนื่องจากราคาที่ดินและราคาก่อสร้างมีต้นทุนต่ำ อีกทั้ง ยังได้รับ
ความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำเป็นพันธมิตรหลัก เปิดให้บริการที่ The Jas Village ในปีนี้ ได้แก่ ปั๊มน้ำมัน Caltex, ฟิตเนส 24 ชั่วโมง Fitness7, Urban FoodVille, Mini BIG C, KFC และพันธมิตรทางการค้าอื่นๆ
สำหรับ ความสำเร็จในผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2562 (สิ้นสุดณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562) บริษัทฯ มีรายได้รวม 962.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 915.7 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้ค่าเช่า เป็นรายได้หลัก สัดส่วน 50.2% รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า สัดส่วน 45.7% มีการเติบโตขึ้น และรายได้อื่นๆ 4.1% ของรายได้รวม ขณะที่การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ต้นทุนค่าเช่าและค่าบริการปรับลดลง ทำให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 169.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อนอยู่ที่ 156.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 17.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 198.9% จากปีก่อนขาดทุน (17.4) ล้านบาท
“แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกในช่วงปีก่อนมีอัตราการเติบโตไม่สูงมากนัก หรือเติบโตที่ประมาณ 2.6% จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทฯ อยู่ในกลุ่มของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีจุดเน้นไปที่การปล่อยพื้นที่ให้เช่าของผู้ค้ารายย่อยที่ขายมือถือและอุปกรณ์เสริมภายใต้ธุรกิจ IT Junction รวมทั้ง โครงการพัฒนาศูนย์การค้าประเภทคอมมูนิตี้ มอลล์ และโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โครงการคอนโดมิเนียม นีเวร่า บริษัทฯ สามารถโอนส่งมอบห้องชุดเรียบร้อยแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง จากทั้งหมดของโครงการ เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลงานพลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 17.2 ล้านบาท พร้อมกับโอกาสในการขยายงานโครงการอย่างต่อเนื่องในปีนี้” นายสุพจน์ กล่าวทิ้งท้าย