นายเนี่ย ซงเชียน ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2563 นี้ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายๆด้าน ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับโลกจากสงครามการค้าที่ส่งผลไปยังหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยค่าเงินบาทที่แข็งตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังซ้ำเติมให้เศรฐกิจยิ่งซบเซา ปัจจุบัน ริสแลนด์ มีโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ใน 7 ประเทศ รวม 15 โครงการ อาทิประเทศสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อินเดีย อังกฤษ เวียดนาม และประเทศไทย รวมมูลค่าโครงการทั่วโลกประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยในปี 2563 นี้ ริสแลนด์ตั้งเป้ารายได้จากทั่วโลก เพิมขึ้น 50% ชูกลยุทธ์ ”Think Global, Act Local” ดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Be the Change, Create the Future” กล้าที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะสร้างอนาคตด้วยการลองผิดลองถูก ล้มเร็วลุกเร็ว เรียนรู้จากอดีต และนำมาแก้ไข เพื่อพัฒนาอนาคต
สำหรับ ริสแลนด์ ประเทศไทย ในปีนี้มีแผนเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการมูลค่ารวมกว่า 20,900 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเนียม 2 โครงการ และโครงการ Mixed use 2 โครงการ โดยมุ่งเน้นเปิดโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ การคมนาคมสะดวกสบาย ในระดับราคาที่เอื้อมถึง ตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการอย่างแท้จริง อีกทั้งเรามีความมั่นใจในสถานะการเงินของบริษัทที่จะสามารถรองรับสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยได้นานพอจนสถานการณ์คลี่คลาย โดยได้รับอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ จากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ระดับ AA ซึ่งเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดในกลุ่มบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นเครื่องตอกย้ำ ในปีผ่านมา ริสแลนด์ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการไป 2 โครงการ ได้แก่ คลาวด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ปัจจุบันปิดการขายไปได้แล้วกว่า 50% และโครงการ The LIVIN เพรชเกษม ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีผลตอบรับจากยอดจองจากการเปิดขาย Phase แรกที่มูลค่ารวม 750 ล้านบาท และสามารถขายไปได้มากถึง 700 ล้านบาท ทำให้ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2 โครงการรวมกว่า 2,400 ล้านบาท นายเนี่ย กล่าวเพิ่มเติม
โครงการ คลาวด์ เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 23 เป็นโครงการแรกที่เปิดตัวในปี 2563 ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 3,600 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 43 ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางอโศกในซอยสุขุมวิท 23 ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงใกล้ทั้ง BTS สายสีเขียว และ MRT สายสีน้ำเงิน เป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ สำนักงาน โรงพยาบาล รวมถึงสถานศึกษาชั้นนำมากมาย ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 8% ต่อปี แต่ยังมีอัตราการดูดซับสูงถึง 82% และจากผลสำรวจคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี ประเภท High Rise ขนาด 1 ห้องนอนมีราคาเริ่มต้นสูงกว่า 7 ล้านบาท และตลาดยังมีความต้องการคอนโดที่มีการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ สามารถใช้ทุกพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า ด้วยวัสดุเกรดพรีเมียม โดยราคาเริ่มต้นของโครงการ คลาวด์ เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 23 อยู่ที่ราคาเพียง 5.99 ล้านบาท ทำให้สามารถตอบสนองช่องว่างของตลาดได้
โครงการ คลาวด์ เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 23 ตกแต่งพร้อมอยู่ 1 อาคาร สูง 43 ชั้น มีห้องชุดรวม 372 ยูนิต ออกแบบอาคารภายนอกแบบโมเดิร์นให้อาคารดูมีความสูงที่โดดเด่น สวยงาม และมีเอกลักษณ์ เนื่องจากเป็นอาคารที่สูงที่สุดในย่านซอยสุขุมวิท 23 และออกแบบตกแต่งภายในให้มีความรู้สึกสะดวกสบายเสมือนกับการพักผ่อนอยู่ในโรงแรม พร้อมไฮไลท์พื้นที่ส่วนกลาง 3 ชั้นที่เชื่อมต่อกัน หรือ Triple Floating Facilities พื้นที่รวมเกือบ 1,400 ตารางเมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ, จากุซซี่, พื้นที่พักผ่อนรอบสระว่ายน้ำ, ห้องโยคะ, สกาย เลาจน์, พื้นที่ทำงาน Co-Working Space และห้องประชุม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 1,000 ตารางเมตร อีกด้วย สำหรับห้องพักประกอบด้วย 5 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอนขนาด 29 - 30 ตารางเมตร, 1 ห้องนอน เอ๊กซ์ตร้าขนาด 41 - 43 ตารางเมตร, 2 ห้องนอนขนาด 57 - 60 ตารางเมตร, ดับเบิ้ลสเปซขนาด 47 - 95 ตารางเมตร และเพนท์เฮ้าส์ ขนาด 79 - 99 ตารางเมตร
โดยจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (FIRST CALL) ในวันที่ 20 – 21 มีนาคม 2563 นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ คลาวด์ เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 23 พบโปรโมชั่นพิเศษในงาน พร้อมชมห้องตัวอย่างได้ที่สำนักงานขาย สามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.cloudresidencesasoke.com/ หรือโทร 02 026 6888
นางสาวมณีกานต์ อิสรีย์โกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิท ที่มีมูลค่ามากกว่า 5 ล้านบาท มีการเปิดขายใหม่ปรับตัวลดลงจำนวน 8,795 ยูนิต จากปี 2561 ที่มีการเปิดขายอยู่ที่ 19,691 ยูนิต มียูนิตคงค้างลดลงจากปี 2561 ในอัตรา 3% และในปี 2563 นี้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป จะมีสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ 17% เท่ากับปีก่อน จึงสรุปได้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดนิเนียมลักซ์ชัวรี ยังคงไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลอโศก ที่ยังมีอัตราการดูดซับของตลาดกว่า 82% และมีโครงการใหม่ที่เข้ามาในตลาดน้อยลง ทำให้คอนโดในกลุ่มนี้มีการตอบรับที่ค่อนข้างดี
นางสาวมณีกานต์ กล่าวต่อว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง 3 ถึง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง และเป็นการซื้อเพื่อการลงทุนในแง่ต่างๆลดลงพอสมควร และในช่วง 1-2 ปีนี้กลุ่มนักลงทุนนักเก็งกำไรได้หายไปจากตลาดบางส่วน จากปัจจัยต่างๆ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลก และ นโยบายต่างๆของภาครัฐที่ส่งผลกระทบทางตรงกับลูกค้ากลุ่มนี้และพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่มีอายุในช่วง 25 ถึง 35 ปี ชอบและเลือกซื้อคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง ที่มีการออกแบบที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของการทำงานและการใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมือง ส่งผลให้คอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี ในเขตกลางเมือง กลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย และ จากการท่องเที่ยวไทยที่มีการขยายตัวสูง ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน ที่หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้ในช่วง 3 ถึง 5 ปีที่ผ่านมา มียอดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี ทำให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและซื้อที่อยู่อาศัยในบ้านเราจำนวนไม่น้อย โดยมีเม็ดเงินต่อปีประมาณ 37,561 ล้านบาทในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่นับการซื้อเพื่อการลงทุน เก็งกำไร รวมถึงการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าในรูปแบบอื่นๆ ทำให้ศาสตร์ในการมองพฤติกรรมผู้บริโภคปรับเปลี่ยนตามบริบทของสังคมและกาลเวลามากขึ้นต้องประยุกต์หลายศาสตร์ และข้อมูลจำนวนมากเข้ามาเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน