ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ 1/2563

พฤหัส ๑๒ มีนาคม ๒๐๒๐ ๑๖:๔๓
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ประชุม ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และตัวแทนภาคส่วนต่างๆ ได้หารือถึงผลกระทบต่อตลาดทุนที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ขยายวงกว้างขึ้นทั่วโลก และความผันผวนจากราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคบริการ ภาคการอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบการและประชาชน รวมถึงความผันผวนของตลาดทุน โดยได้มีแนวทางทั้งระยะสั้นและระยะยาวร่วมกัน เพื่อมุ่งสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน และปฏิรูปเศรษฐกิจไทยผ่านกลไกตลาดทุน โดยมีมาตรการหลักๆ ดังนี้

1.มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนและลดผลกระทบจากไวรัสโคโรนา

1.1 มาตรการสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มอุปสงค์ในตลาดทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม ระยะที่ 1 ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนและเพิ่มอุปสงค์ โดยให้ประชาชนทั่วไปหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund หรือ SSF) ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใน ตลท. ไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยแยกจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมในกองทุนเพื่อการเกษียณทั้งหมด โดยต้องซื้อระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 10 ปี นอกจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินและภาษีต่าง ๆ เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ การพักต้นเงินลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาชำระหนี้แก่ลูกหนี้ แนวทางการเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย การเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระดอกเบี้ยจ่าย รวมถึงการส่งเสริมเสถียรภาพการจ้างงานผ่านมาตรการทางภาษี และการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้าง เป็นต้น

1.2 มาตรการบรรเทาภาระและต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ มีมาตรการสำคัญ ๆ ที่ สำนักงาน ก.ล.ต.และ ตลท. ดำเนินการโดยสรุป คือ (1) ด้านบริษัทจดทะเบียน แก้ปัญหาเกี่ยวกับการจัดประชุมผู้ถือหุ้นของหลักทรัพย์จดทะเบียน การจัดประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT) ให้มีความยืดหยุ่นทั้งในด้านระยะเวลาและรูปแบบการจัดประชุม รวมถึงมีการพิจารณาลดค่าธรรมเนียม/ค่าใช้จ่ายเพื่อลดต้นทุนให้กับบริษัทจดทะเบียน และอำนวยความสะดวกด้านการดำเนินธุรกิจให้กับบริษัทจดทะเบียนผ่านช่องทาง Digital และ Relationship Manager (2) ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เปิดโอกาสให้บริษัทหลักทรัพย์ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาอนุญาตพนักงานทำงานจากที่บ้าน (work from home) การมีมาตรการรองรับการขยายประเภทหลักทรัพย์ในการทำธุรกรรมการซื้อคืน (repo) และซื้อหลักทรัพย์โดยมีสัญญาจะขายคืน (reverse repo) เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหารสภาพคล่องของบริษัทหลักทรัพย์ การปรับปรุงเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนในการรับจัดจำหน่ายหุ้นใหม่ที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และหน่วยลงทุน และลดค่าธรรมเนียม/ค่าใช้จ่ายสำหรับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT system) เพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบธุรกิจ (3) ด้านบุคลากรในตลาดทุน มีความยืดหยุ่นโดยขยายเวลาในการอบรมให้กับบุคลากรที่จะต่ออายุในปี 2563 รวมถึงสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการยกระดับทักษะ (upskill) และเพิ่มทักษะใหม่ (reskill) บุคลากรในตลาดทุน (4) ด้านกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงาน ก.ล.ต. จะออกหลักเกณฑ์รองรับการจัดตั้ง SSF ที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้แล้วเสร็จภายใน 16 มีนาคม 2563 ยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดตั้งและจดทะเบียนกองทุนรวมดังกล่าว และใช้หลักการอนุมัติแบบอัตโนมัติ และจะนำเสนอมาตรการให้นายจ้างหรือลูกจ้างหยุดหรือเลื่อนการส่งเงินสมทบหรือเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี นอกจากนี้ ตลท. จะจัดให้มีช่องทางให้บริษัทจดทะเบียนสื่อสารข้อมูลและมุมมองเชิงธุรกิจให้นักลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันกาล และจะผ่อนผันการจัดประชุมสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อรับรองงบการเงิน

2.มาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยที่จะดำเนินการผ่านกลไกตลาดทุน เพื่อให้ตลาดทุนมีบทบาทมากขึ้นในการพัฒนาธุรกิจขนาดเล็กและเศรษฐกิจฐานราก ให้ตอบสนองยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่ และตอบสนอง ต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ผ่านการใช้กลไกของตลาดทุนเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยในปี 2563-2564 จะเน้นมาตรการ ใน 3 ด้าน ดังนี้

2.1 ด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถและการเข้าถึงตลาดทุนของผู้ประกอบการ ประกอบด้วย การพัฒนาผู้ประกอบการรายเล็ก (SMEs/Startup) ให้เป็นมืออาชีพ พร้อมจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีช่องทางการระดมทุนที่มากขึ้น เริ่มจากการพัฒนาความรู้และหลักสูตรผู้ประกอบการ สำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) ในรูปแบบ e- learning และเมื่อผู้ประกอบการกลุ่มนี้แข็งแกร่งขึ้นในระดับหนึ่งแล้วก็จะเข้าสู่ช่วงการเติบโตธุรกิจ (Scaling Up) ซึ่งจะผ่านกระบวนการแนะแนวและบ่มเพาะ การช่วยพัฒนาระบบบริหารจัดการธุรกิจ และการจับคู่ธุรกิจ เพื่อมุ่งสร้างความแข็งแกร่งสำหรับกลุ่มที่มีศักยภาพ รวมทั้งบ่มเพาะและเตรียมความพร้อมในการระดมทุนในตลาดทุนต่อไป โดยจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปีนี้ นอกจากนั้นจะเพิ่มทางเลือกการระดมทุนในตลาดทุนทั้งตลาดแรกและตลาดรอง สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการระดมทุนหรือซื้อขายเปลี่ยนมือในรูปแบบของแพลตฟอร์มสำหรับการระดมทุนและ ซื้อขายในตลาดรอง (Fund Raising and Trading Platform) โดยจะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ในต้นปี 2564 รวมทั้งเปิดให้ SMEs/Startup สามารถเสนอขายหุ้นและหุ้นกู้แปลงสภาพให้แก่ผู้ลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน (อันได้แก่ นิติบุคคลร่วมลงทุน (Venture Capital) กิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity) และผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะ (Angel investor) ผู้ลงทุนสถาบัน และพนักงาน ได้โดยตรง และการปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเปิดโอกาสให้ระดมทุนผ่านหุ้นกู้คราวด์ฟันดิ้ง (Debt Crowdfunding) ได้ง่ายขึ้น ตลอดจนพัฒนากฎเกณฑ์ให้ SMEs สามารถเสนอขายหุ้นในวงกว้างได้ โดยเป็นครั้งแรกที่นำหลักการเปิดเผยข้อมูลมาใช้แทนการอนุญาตเพื่อประกอบการพิจารณาคุณสมบัติของกิจการที่เสนอขายหุ้น ทั้งนี้ การปรับปรุงเกณฑ์ต่าง ๆ จะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในปี 2563

2.2 ด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน จะมีการบูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆภายใต้แผนการพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมครัวเรือนในการลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็นและให้ประชาชนเข้าใจทางเลือกต่าง ๆ ในการออม เพื่อให้มีเงินใช้เพียงพอกับการดำรงชีวิตในยามชราภาพ ทั้งนี้ แผนดังกล่าวมีโครงการที่ตลาดทุนจะเข้ามามีบทบาทในการช่วยพัฒนาทักษะการเงินในระดับฐานรากและตอบสนองยุทธศาสตร์เชิงพื้นที่โดยผ่าน (1) โครงการหมอคลังอาสา ซึ่งดำเนินการผ่านบุคลากรของกระทรวงการคลังที่อยู่ประจำในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นผู้นำผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ เข้าไปให้ความรู้และพัฒนาทักษะทางการเงินแก่บุคลากรที่มีบทบาทในชุมชน อาทิ ครู พัฒนากร ปราชญ์ท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้บุคคลเหล่านั้นถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนในชุมชน โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2563 (2) โครงการ Happy Money, Happy Village เป็นการพัฒนาต่อยอดโครงการหมอคลังอาสา โดยมุ่งส่งเสริมความรู้และทักษะการเงินขั้นพื้นฐาน ให้กับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย มีปัญหาหนี้สินนอกระบบและมีเงินออมน้อย โดยจัดทำชุดสื่อความรู้ที่พัฒนาให้เข้าใจง่ายและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนา Trainers แก่กลุ่มผู้นำชุมชนจากหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อเป็นเครือข่ายการเผยแพร่ความรู้ได้อย่างยั่งยืน โดยจะกำหนดเป้าหมายภายในปี 2564 ให้มีหมู่บ้านนำร่องอย่างน้อยจังหวัดละ 1 หมู่บ้าน ที่สมาชิกทุกครัวเรือนปลอดจากหนี้สินนอกระบบ มีความสามารถในการชำระหนี้สินในระบบ และทุกครัวเรือนมีวินัยการออม ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการออมและลงทุนจริงในภาคปฏิบัติผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ กองทุนการออมแห่งชาติ และสถาบันการเงินในเครือข่าย และ (3) โครงการ platform ความรู้การเงินการลงทุนสำหรับคนไทย สร้างศูนย์กลางความรู้การเงินและการลงทุนที่ครบวงจรรวมถึงเตือนภัยทางการเงินไว้ในแหล่งเดียวในรูปแบบเว็บไซต์ เป็นการบูรณาการแหล่งความรู้โดยความร่วมมือของหน่วยงานที่ให้ความรู้ทางการเงิน และรองรับแผนการพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทยของกระทรวงการคลังผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย โดยจะสามารถเริ่มให้บริการได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2563 นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. มีการลงพื้นที่ (reach out) และจัดฝึกอบรมวิทยากรตัวคูณ หรือ Train the trainer เพื่อสร้างเครือข่ายภาคประชาชน และร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อกระจายความรู้สู่กลุ่มผู้นำสตรีและเยาวชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

2.3 ด้านการพัฒนาตลาดทุนดิจิทัล โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Digital Infrastructure) ตลาดทุนอย่างบูรณาการ เพื่อให้กระบวนการออกและเสนอขายหลักทรัพย์เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในการระดมทุน โดยในระยะแรกจะเริ่มที่ตราสารหนี้และจะเชื่อมต่อกับ Platform อื่น ๆ คาดว่าระบบ จะเริ่มใช้งานได้ในไตรมาส 4 ปี 2563 นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนากฎเกณฑ์รองรับการระดมทุนในรูปแบบดิจิทัล (Securities Token Offering) ภายใต้กฎหมายหลักทรัพย์ เพื่อตอบรับตลาดทุนดิจิทัลและคุ้มครองผู้ลงทุน อย่างเหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมีโครงการ 1 Baht Bond เป็นการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์ที่มีราคาต่อหน่วยต่ำเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึง ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-wallet และเพื่ออำนวยความสะดวก สร้างโอกาสให้ประชาชนรายย่อยสามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น โดยระบบจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563

การดำเนินการต่าง ๆ ตามแผนปฏิรูปเศรษฐกิจไทยผ่านกลไกตลาดทุนนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ จะทำงานประสานกับคณะกรรมการกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (Capital Market Development Fund: CMDF) ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการดำเนินการตามแผนงานต่าง ๆ ภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาตลาดทุนไทย ทั้งในการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน การสร้าง Eco-system ให้ผู้ประกอบธุรกิจ สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุน รวมถึงการให้ความรู้ทางการเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตลาดทุน

คณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยขอให้ความมั่นใจกับผู้ลงทุน ผู้ประกอบการ และประชาชนว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันเพื่อดำเนินมาตรการต่าง ๆ ในการสร้างเสถียรภาพในตลาดทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยจะยังขับเคลื่อนต่อไปได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ