ในขณะที่ยอดขายในฐานการจัดจำหน่าย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 7% ของยอดขายโดยรวม มียอดลดลง 58% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากสภาพเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบยอดขายของปีก่อนที่ยังไม่ได้มีผลกระทบจากเลิกกิจการบริษัทย่อยที่ประเทศเยอรมันในปลายไตรมาสที่ 1 ปี 2561 และเริ่มแผนการลดขนาดธุรกิจบริษัทย่อยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในไตรมาสที่ 2 ปี 2561 และบริษัทย่อยที่ประเทศฝรั่งเศสในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เพื่อปรับลดฐานกิจการที่ไม่สร้างกำไร
ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของฐานการจัดจำหน่ายโดยปกติจะสูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของฐานการผลิต แต่เนื่องจากการปรับแผนงานในระหว่างปี เป็นสาเหตุทำให้ยอดขายจากฐานการจัดจำหน่ายลดลง จึงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมลดลง
สำหรับฐานการค้าปลีก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 29% ของยอดขายโดยรวม มียอดลดลง 5% จากปีก่อนจากสภาวะตลาดในประเทศไทยชะลอตัวในการใช้จ่ายกับกลุ่มสินค้าเครื่องประดับ กลุ่มบริษัทฯ จึงได้มีการเริ่มปรับแผนกลยุทธ์ของฐานการค้าปลีก เพื่อช่วยให้กลุ่มลูกค้าสามารถได้รับบริการทั้ง 3 แบรนด์ PRIMA GOLD, PRIMA DIAMOND, PRIMA ART ภายใต้การดูแลของแบรนด์ “PRIMA” เป็นร้านค้า Fine Jewelry แบบครบวงจร และขยายฐานลูกค้าในประเทศ และขยายฐานลูกค้าในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 ที่ผ่านมา จึงส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 4 ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น
จึงทำให้ภาพรวมในปี 2562 มีอัตรากำไรขั้นต้น 783.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 26.25% ในขณะที่ปีก่อนอยู่ที่ 31.54% , อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นปี 2562 จะอยู่ที่ 27.88% หากไม่รวมผลกระทบจากค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวที่รวมอยู่ในต้นทุนขาย