อีกทั้ง บริษัทเริ่มดำเนินการปรับปรุงกระบวนการขายแบบเชิงรุกทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงปรับปรุงสายการผลิต ในการลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความสามารถการทำกำไรสูงขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2563 ที่ 15-20% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท จากปี 2562
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัท แบ่งเป็น ต่างประเทศ 20.4% และในประเทศ 79.6% ประกอบด้วย ลูกค้า 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคการไฟฟ้าและพลังงาน 27.1% ภาคสิ่งปลูกสร้าง 31.3% ภาคอุตสาหกรรม 8.8% ภาคคมนาคม 8.8% ภาคการสื่อสารโทรคมนาคม 1.1% ภาคความมั่นคงทางทหาร 0.1% และอื่น ๆ 2.4%
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/2562 บริษัทมีรายได้รวม 108.19 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 113.30 ล้านบาท จำนวน 5.11 ล้านบาท หรือลดลง 4.51% และมีกำไรสุทธิ 2.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุน 16.45 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายจากการจ่ายหุ้นเป็นเกณฑ์ (Share-base ) รวมถึงการตั้งสำรองเผื่อด้อยค่าของสินค้าคงคลังต่ำกว่ากับไตรมาส 4/2561 และยอดขายสินค้าที่ปรับลดลงทุกกลุ่มทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ ทวีปเอเชีย และยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ส่วนผลประกอบการปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 437.94 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 469.72 ล้านบาท จำนวน 31.78 ล้านบาท หรือลดลง 6.76% และมีกำไรสุทธิ 23.40 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33.78 ล้านบาท จำนวน 10.38 ล้านบาท หรือลดลง 30.72% เนื่องจากยอดขายสินค้าในประเทศ และต่างประเทศปรับลดลงทุกกลุ่ม
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.07 บาท สำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2562 คิดเป็นจำนวนเงิน 30.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 114.2% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักสำรองตามกฎหมาย โดยการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีและเพื่อสิทธิ์รับเงินปันผล (Record Date) ณ วันที่ 5 พ.ค. 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พ.ค. 2563 โดยเตรียมขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 22 เม.ย. 2563