นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบสิ่งของบริจาคจากนายเจมส์ ตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) ในฐานะตัวแทนมูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบา จากนี้กระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรมจะร่วมกันขนส่งและแจกจ่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังสถานพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ
ชุดอุปกรณ์ป้องกันตนเอง PPE และหน้ากากอนามัยที่ส่งมอบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่ 4 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ตามที่มูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบาได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มอบให้ทั้ง 4 ประเทศ ได้แก่ หน้ากากอนามัย 2 ล้านชิ้น ชุดตรวจโควิด-19 150,000 ชุด ชุดป้องกันการติดเชื้อ 20,000 ชุด และหน้ากากป้องกันการติดเชื้อ 20,000 ชุด (ตัวเลขทั้งหมดเป็นจำนวนรวมของทั้ง 4 ประเทศ)
“ประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาที่เผชิญความท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่เราก็ไม่ย่อท้อในการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคระบาดครั้งนี้ เราขอขอบคุณมูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบาจากใจ ที่ให้ความช่วยเหลือในเวลาที่ยากลำบาก อย่างทันท่วงที ซึ่งเรากำลังพยามทุกวิถีทางเพื่อปรับตัวกับสถานการณ์การระบาดที่มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว
“เราหวังว่าการบริจาคในครั้งนี้จะช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับโควิด-19 ได้ เรากำลังให้ความช่วยเหลือสังคมโลกในทุกทางเท่าที่เราจะทำได้ โดยความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือการขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังพื้นที่ที่กำลังต้องการให้เร็วที่สุด เรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว” ตัวแทนจากมูลนิธิแจ็ค หม่า กล่าว
ทั้งนี้ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์อีกส่วนหนึ่งกำลังจะถูกจัดส่งมาภายในสัปดาห์นี้
การบริจาคในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ริเริ่มโดยมูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบา เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ทั่วโลกที่ได้ รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 มากที่สุด โดยจัดหาและลำเลียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ไปยังเอเชีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกา อิตาลี เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สโลวีเนีย สเปน และลาตินอเมริกา โดยโครงการ eWTP (Electronic World Trade Platform) ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการบริจาคครั้งนี้อย่างรวดเร็ว เป็นโครงการที่ไม่แสวงผลกำไรซึ่งริเริ่มโดยแจ็ค หม่า ในปี 2559 เพื่อช่วยสร้างสภาพแวดล้อมของการค้าข้ามพรมแดนที่บูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมมากขึ้น
นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการรักษาไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีน และสถาบันวิจัยปีเตอร์ โดเฮอร์ที เพื่อการติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน (ออสเตรเลีย) รวมทั้งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (สหรัฐ) โดยการบริจาคเพิ่มเติมจะมีการประกาศในเร็วๆ นี้
มูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบา ยังได้ตีพิมพ์และเผยแพร่คู่มือเกี่ยวกับความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดโดยแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง สาขาที่หนึ่ง ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รายละเอียดเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ https://covid- 19.alibabacloud.com/
ผู้สนใจยังสามารถติดตามข่าวสารการทำงานเพื่อต่อสู้กับโควิด-19 ทั่วโลกของทั้งสองมูลนิธิ ได้จากทวิตเตอร์ @JackMa และ @foundation_ma
ข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับอาลีบาบากรุ๊ป สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ภาษาไทยขององค์กร AlibabaNews Thai
เกี่ยวกับมูลนิธิแจ็ค หม่า
มูลนิธิแจ็คหม่าเป็นองค์กรการกุศล ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2557 เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษา การประกอบธุรกิจ บทบาทผู้นำของสตรีและสิ่งแวดล้อม มูลนิธิตั้งใจที่จะเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ยั่งยืนและช่วยเหลือสังคมโดยรวม มูลนิธิแจ็ค หม่าสนับสนุนโครงการทั่วโลกได้แก่ โครงการแจ็คหม่ากับการศึกษาในชนบท การแข่งขัน Africa Netpreneur Prize Initiative (ANPI) โครงการมอบทุนการศึกษาหม่า- มอร์ลีย์ และมูลนิธิ Jordan’s Queen Rania Foundation นอกจากนี้มูลนิธิฯ ยังระดมทุนให้กับโครงการอื่นๆ ในด้านที่มูลนิธิให้ความสนใจ มูลนิธิแจ็ค หม่า มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนครูในชนบท ผู้ประกอบการ เด็กในชนบท สตาร์ทอัพที่เพิ่งก่อตั้งและผู้หญิง เพื่อเตรียมพร้อมให้กลุ่มคนเหล่านั้นมีอนาคตที่ดีและมีส่วนในการสร้างสังคมที่มีความสุข แข็งแกร่ง มีความยั่งยืนและเท่าเทียมมากขึ้น
เกี่ยวกับมูลนิธิอาลีบาบา
มูลนิธิอาลีบาบา ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2554 เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม ให้เกิดความยั่งยืนและอุทิศต่อภาคประชาสังคมและสิ่งแวดล้อม ในด้านหลักๆ ได้แก่ การปกป้องทรัพยากรน้ำ การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและการจัดตั้งองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม อาลีบาบา กรุ๊ปตั้งใจที่จะมอบรายได้ 1 เปอร์เซ็นที่ได้ในแต่ละปีไปยังมูลนิธิอาลีบาบา เพื่อให้กองทุนอยู่ได้อย่างยั่งยืนและใช้เป็นเงินทุนสำรองหากเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือเพื่อสนับสนุนโครงการทางสังคม