นายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Suthas Ruangmanamongkol, Group Chief Executive) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในไตรมาส 1 ของปี 2563 มีกำไรสุทธิ 1,484 ล้านบาท หรือลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ภาวะธุรกิจชะลอตัวลง รวมถึงภาวะความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง บริษัทมีการเริ่มใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 7.75 บาท สำหรับรอบผลประกอบการวันที่ 1 ม.ค. ถึง 31 ธ.ค. 2562 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 เม.ย. 2563
“ความท้าทายของการดำเนินธุรกิจในปีนี้ คือ เรื่องคุณภาพสินเชื่อ จากตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ การชะลอตัวลงของธุรกิจ กฎเกณฑ์มาตรฐานการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มเติมเข้ามา และยังมีความไม่แน่นอนของระยะเวลาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากนี้ ทำให้ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้อาจแตกต่างจากที่เคยคาดการณ์ไว้” นายสุทัศน์ กล่าว
เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนอย่างรุนแรง ทั้งภาคการท่องเที่ยว การผลิต การส่งออก การบริโภคภาคเอกชน รวมทั้งก่อให้เกิดความผันผวนรุนแรงในตลาดการเงินโลก เป็นแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่มีการเติบโตแบบชะลอตัวอยู่ก่อนหน้านี้ ให้ถดถอยลงอย่างรุนแรง ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจโลกจะหดตัว 3.0% ถือเป็นการติดลบมากที่สุดในรอบเกือบร้อยปี ขณะที่ กลุ่มทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะถดถอยในทิศทางเดียวกัน
โดยในช่วงที่เหลือของปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม 3 ประเด็น ได้แก่ 1) สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 จะมีความรุนแรงเพียงใด และ การ Lockdown จะใช้เวลานานเท่าใด 2) ผลของมาตรการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ของทางการ ต่อระบบเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะส่งผลบวก ซึ่งต้องติดตามรายละเอียดของมาตรการ การเบิกจ่ายงบประมาณ และการใช้จ่ายเงินของประชาชนต่อไป และ 3) สถานการณ์ภัยแล้ง
จากการคาดการณ์ข้างต้น กลุ่มทิสโก้ยังคงดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยเน้นคุณภาพสินเชื่อและการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความร่วมมือสนับสนุนมาตรการต่างๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งดำเนินการบรรเทาภาระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้แก่ลูกค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผ่านมาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ การดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ในขณะเดียวกันยังคงสานต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ต้องการทราบข้อมูลและติดต่อเพื่อขอรับความช่วยเหลือสามารถดูรายละเอียดและลงทะเบียนได้ผ่านทางเว็บไซต์ของธนาคาร
สรุปผลประกอบการไตรมาส 1/2563
ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,484 ล้านบาท ลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 เป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว รวมทั้งการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น จากอัตราผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นตามการขยายสัดส่วนสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่ลดลง รายได้ค่าธรรมเนียมทรงตัว โดยค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์อ่อนตัวลงจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย และค่าธรรมเนียมจากเงินให้สินเชื่อ ในขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์และการออกกองทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้นในภาวะที่ตลาดทุนผันผวน ในขณะเดียวกัน บริษัทมีการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Expected Credit Loss – ECL) เพิ่มขึ้นตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 14.8%
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีจำนวน 237,872 ล้านบาท ลดลง 2.0% จากสิ้นปีก่อนหน้า จากการชะลอตัวของสินเชื่อทุกภาคธุรกิจในภาวะที่เศรษฐกิจอ่อนตัว อย่างไรก็ดี สินเชื่อจำนำทะเบียนยังคงสามารถเติบโตได้ดี โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียน ภายใต้แบรนด์ “สมหวัง เงินสั่งได้” ซึ่งเติบโต 4.4% เป็นไปตามแผนการขยายธุรกิจและการขยายสาขาสำนักอำนวยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.56% ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 189.9%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดทั้งปี โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 22.2% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 17.6% และ 4.6% ตามลำดับ