นางสาวจิรฐา ทรงเมตตา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวว่า “ขออนุญาตชี้แจงสื่อมวลชนและนักลงทุนเรื่องวิกฤติไวรัสโควิด-19 ว่า นอกจาก ACE บริษัทฯจะไม่ได้รับผลกระทบทางลบใดๆจากวิกฤตินี้ เนื่องจากรายได้หลักจากการจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทฯ กว่า 99% เป็นการจำหน่ายไฟฟ้าให้ภาครัฐ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับค่าไฟฟ้าในอัตราฟีด-อินทาริฟ (FIT) จึงเป็นรายได้ที่มีเสถียรภาพสูง และไม่ได้ผลกระทบจากการปรับค่า FT ของภาครัฐแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นการที่บริษัทฯได้ลดภาระหนี้สินเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้อย่างมีนัยยะสำคัญจำนวนร่วม 3,900 ล้านบาท เมื่อปลายปี รวมถึงบริษัทฯสามารถลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวกับสถาบันการเงินชั้นนำในอัตรา MLR-2.5% ส่งผลให้บริษัทฯจะลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยได้ร่วม 250 ล้านบาทต่อปี และเป็นการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรโดยตรง อีกทั้งสถานะทางการเงิน ปรับตัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระ ดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ที่ต่ำมากเพียง 0.28 เท่า บริษัทฯจึงมีศักยภาพในการลงทุนโรงไฟฟ้าโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพิ่มโอกาสการขยายกิจการได้อย่างมาก
ทางด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ACE จะมีผลกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการนำเงินที่ได้จาก IPO มาจ่ายเงินกู้ระยะยาว คาดว่าดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงถึง 59% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีก่อน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ กำไรสุทธิของบริษัทฯเติบโตถึง 153.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 103 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 4 ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 245 ล้านบาท จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยคงราคาพื้นฐานเฉพาะโครงการปัจจุบันที่ 2.98 บาท แต่หากรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและโครงการในอนาคตซึ่งจะเพิ่มมูลค่าพื้นฐานให้แก่บริษัทได้อีก 3.46 บาท จะรวมเป็นมูลค่าพื้นฐาน 6.44 บาท
นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE กล่าวเสริมว่า “ บริษัทฯ มีแผนงานที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเตรียมเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนตามนโยบาย สำคัญของภาครัฐ 2 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 700 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าภาครัฐใกล้จะประกาศรายละเอียดการลงทุนเร็วๆนี้และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ รวมแล้ว 1,100 เมกะวัตต์ โดยบริษัทฯ มีความพร้อมทุกด้าน ทั้งประสบการณ์การพัฒนา และบริหารโรงไฟฟ้ากว่า 212 เมกะวัตต์ ความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้า ด้วยวัสดุการเกษตร พืชพลังงานและขยะอินทรีย์ / ขยะชุมชน ความพร้อมทางการเงิน ผู้บริหาร-วิศวกรที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญจึงมั่นใจว่าบริษัทฯ มีโอกาสที่จะชนะการประมูล และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างมั่นคง ส่วนโครงการโรงไฟฟ้า SPP Hybrid จำนวน 4 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้ง 93 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการขอขยายเวลาการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า คาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในครึ่งปีแรกนี้”
ปัจจุบัน ACE มีโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว กำลังการผลิตติดตั้งรวม 212.18 เมกะวัตต์ และมีเป้าหมายระยะยาว ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 จากโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา โครงการที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา และโครงการในอนาคต ทั้งโรงไฟฟ้าชุมชนและโรงไฟฟ้าขยะ อันจะส่งผลให้ ACE เติบโตอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่องในช่วง 5 ปีนี้ สำหรับงวดปี 2562 ACE มีรายได้รวม 4,951 ล้านบาท มี EBITDA 1,854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.9% จาก EBITDA 1,586 ล้านบาท ในปี 2561 และมีกำไรสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้น 49.2% เป็น 815 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 547 ล้านบาท ในปี 2561 ทำให้อัตรากำไรสุทธิของ ACE ในปี 2562 สูงถึง 16.4%”
บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกว่า 10,793 ล้านบาท เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศไทย และเป็น 1 ในผู้นำด้านโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดของโลก ที่มีความสามารถผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลากหลายประเภท มีความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพ เป็นต้นแบบของโลกเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะชุมชน ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 14001 , ISO 9001 และ OHSAS 18001 อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างของโลกในการดำเนินกิจการ โดยยึดหลัก ESG (Environmental Social and Governance) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาล และเป็นธุรกิจที่ก่อให้เกิด Positive Total Societal Impact (TSI) หรือผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่สังคม จากการดำเนินงานของบริษัทฯ อันจะส่งผลดีต่อผลตอบแทนการลงทุนโดยรวม นอกจากนี้โรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงไฟฟ้าขยะของ ACE ช่วยลดมลภาวะและเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน เพื่อป้องกันการเกิด PM2.5 ลดปัญหาขยะชุมชน และช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย และประเทศไทย