รายงาน 'New schools of thought: Innovative models for delivering higher education' ซึ่งจัดทำโดย Economist Intelligence Unit (EIU) ได้แจกแจงรายละเอียดของสิ่งที่สถาบันอุดมศึกษาควรต้องทำเพื่อความอยู่รอด ในสถานการณ์ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากภาครัฐลดน้อยลง แต่กลับเต็มไปด้วยคำถามในเรื่องความคุ้มค่า และความท้าทายจากเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ
ระหว่างการเปิดตัวรายงานฉบับล่าสุดในวันนี้ บนเวทีอภิปรายของ EIU ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก QF มีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจาก 3 ประเทศมาร่วมสำรวจผลการศึกษาของรายงานฉบับนี้ และพวกเขาก็มีความเห็นตรงกันในเรื่องอนาคตของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดย Ben Nelson ผู้ก่อตั้ง, ประธาน และซีอีโอจาก Minerva Schools แห่ง Keck Graduate Institute กล่าวว่า “เหล่านักศึกษามีภาระหน้าที่ที่สำคัญมากเป็นพิเศษในปีนี้ เพราะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมจำความได้ที่พวกเขาจะมีความสามารถในการทำให้สถาบันต่างๆ ล้มละลายได้”
"พวกเขาสามารถแสดงออกถึงการไม่ยอมรับในแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน เช่น การเลือกที่จะออกจากมหาวิทยาลัยไป 1 ปี ซึ่งอาจส่งผลให้สถาบันแห่งหนึ่งถึงกับต้องปิดตัวลง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นักศึกษาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นเสมือนหุ้นส่วนที่เป็นผู้ชี้ชะตา กำหนดสิ่งที่มหาวิทยาลัยควรต้องทำ และเลือกเองว่ามหาวิทยาลัยไหนที่จะมีสิทธิ์ให้บริการพวกเขาต่อไป”
"เมื่อสังคมและนักศึกษามีการเชื่อมโยงเข้ากับสถาบันต่าง ๆ และไม่ได้รับผลตอบแทนที่คู่ควรกับสิ่งที่พวกเขาได้ลงทุนไป ก็จะมีการคิดบัญชีเกิดขึ้น”
ความคิดเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับที่ Dr. Mary Schmidt Campbell ประธานของ Spelman College กล่าวบนเวทีเดียวกันว่า ความร่วมมือทางวิชาการนั้น “มีความสำคัญมากจริง ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้” พร้อมเสริมว่า “สถาบันต่าง ๆ ต้องหยุดทำตัวสูงส่ง ทำงานแบบฉายเดี่ยว และไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครได้แล้ว”
"ทุกคนจะได้ประโยชน์จากการร่วมมือกัน และเราก็จำเป็นต้องใช้ชุดความคิดที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เรามีอยู่ในขณะนี้ เพราะถ้าเรากลับไปใช้วิธีทำการตลาดแบบแข่งขันกันอย่างที่เคยเป็นมา เราอาจไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อีกเลย"
เช่นเดียวกับ Francisco Marmolejo ที่ปรึกษาด้านการศึกษาของ QF ที่กล่าวบนเวทีอภิปรายนี้ว่า สถาบันอุดมศึกษาต้อง “ตั้งคำถามถึงสมมติฐานของพวกเขา” โดยระบุว่า “หากพวกเราไม่ทำแบบนี้ และเลือกที่จะสร้างความปั่นป่วน หรือเต็มใจยอมรับกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ทันทีที่สถานการณ์ต่าง ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ เราก็อาจพยายามทำในสิ่งที่เคยทำกันมาก่อนหน้านี้ แต่วิกฤตครั้งนี้กำลังบอกกับเราว่า เราไม่มีสภาวะที่จะคาดเดากันได้เลยว่าสถานการณ์ต่าง ๆ จะเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา”
สามารถดาวน์โหลดรายงาน 'New schools of thought: Innovative models for delivering higher education' ได้ที่ https://pages.eiu.com/launch-folder_report-download-registration.html
รับฟังบันทึกการอภิปรายดังกล่าวได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=3ZscdTDkM0Y&feature=youtu.be
มูลนิธิกาตาร์ – ปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์
มูลนิธิกาตาร์เพื่อการศึกษา, วิทยาศาสตร์ และการพัฒนาชุมชน (QF) เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มุ่งสนับสนุนกาตาร์ในการเดินทางสู่ความหลากหลายและยั่งยืนทางเศรษฐกิจ QF พยายามอย่างหนักเพื่อรับใช้ประชาชนชาวกาตาร์ ด้วยการจัดสรรโปรแกรมเฉพาะในระบบอีโคซิสเต็มที่มุ่งเน้นนวัตกรรมด้านการศึกษา การวิจัยและการพัฒนา และการพัฒนาชุมชน
QF ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดยชีคห์ ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี เจ้าผู้ครองรัฐ และชีคกะ โมซา บินท์ นาสเซอร์ ผู้ทรงมีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่จะส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพให้แก่กาตาร์ ปัจจุบัน ระบบการศึกษาระดับเวิลด์คลาสของ QF มอบโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับสมาชิกในชุมชนซึ่งมีอายุน้อยสุดตั้งแต่ 6 เดือนไปจนถึงระดับด็อกเตอร์ จึงทำให้บัณฑิตผู้จบการศึกษาสามารถประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมระดับโลก และมีส่วนช่วยสนับสนุนการพัฒนาของประเทศในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ QF กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างศูนย์นวัตกรรมแบบสหวิชาชีพในกาตาร์ โดยมีนักวิจัยชาวกาตาร์ช่วยกันเร่งดำเนินการเพื่อจัดการกับความท้าทายในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางสังคมผ่านโปรแกรมต่าง ๆ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมของกาตาร์ ภายใต้ความมุ่งมั่นของ QE ที่ต้องการมอบอำนาจแก่ชุมชนท้องถิ่น และมีส่วนสนับสนุนโลกที่ดีขึ้นให้กับทุกคน
รับชมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการริเริ่มและโปรเจคทั้งหมดของ QF ได้ที่ www.qf.org.qa
สื่อมวลชนสามารถติดต่อได้ที่ [email protected]
ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้เผยแพร่โดย RF|Binder Partners Inc. ในนามของมูลนิธิกาตาร์ สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ กรุงวอชิงตันดีซี
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1163685/Qatar_Foundation_Logo.jpg